โรม
โรม Roma | |
---|---|
นครหลวงและเทศบาล | |
กรุงโรม - Roma Capitale | |
ตามเข็มจากบน: โคลอสเซียม, มหาวิหารนักบุญเปโตร, ปราสาทซันตันเจโล, สะพานซันตันเจโล, น้ำพุเตรวี และวิหารแพนธีอัน | |
สมญา: "อมตะนคร" - "Urbs Aeterna" "ศูนย์กลางของโลก" - "Caput Mundi" | |
เขตเทศบาลกรุงโรม (สีแดง) ภายในเขตมหานครกรุงโรม (สีเหลือง) ส่วนสีขาวคือนครรัฐวาติกัน | |
พิกัด: 41°53′N 12°30′E / 41.883°N 12.500°E | |
ประเทศ | อิตาลี |
แคว้น | ลัตซีโย |
ก่อตั้ง | 753 ปีก่อนคริสตกาล |
ผู้ก่อตั้ง | กษัตริย์โรมุลุส |
การปกครอง | |
• ประเภท | เขตเทศบาลชนิดพิเศษ |
• องค์กร | สภากรุงโรม |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 1,285 ตร.กม. (496.3 ตร.ไมล์) |
ความสูง | 21 เมตร (69 ฟุต) |
ประชากร (30 เม.ย. 2018) | |
• ความหนาแน่น | 2,236 คน/ตร.กม. (5,790 คน/ตร.ไมล์) |
• เขตเทศบาล | 2,879,728[1] |
• เขตมหานคร | 4,355,725[2] |
เดมะนิม | โรมาโน (บุรุษ), โรมานา (สตรี) |
เขตเวลา | UTC+1 (เวลายุโรปกลาง) |
CAP code(s) | 00100; 00118 to 00199 |
รหัสพื้นที่ | 06 |
เว็บไซต์ | "Roma Capitale - Sito Istituzionale". Comune di Roma. สืบค้นเมื่อ 22 สิงหาคม 2019. |
โรม[3] (อังกฤษ: Rome) หรือชื่อในภาษาอิตาลีและละตินคือ โรมา[3] (อิตาลีและละติน: Roma [ˈroːma] ( ฟังเสียง)) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลัตซีโยและประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2.5 ล้านคน ถ้ารวมเมืองโดยรอบจะมีประมาณ 4.3 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับมิลานและนาโปลี
โรมมักถูกเรียกว่าเมืองแห่งเนินเขาทั้งเจ็ดเนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และยังได้รับการขนานนามว่าเป็น "เมืองอันเป็นนิรันดร์" โดยทั่วไปแล้วโรมถือเป็นแหล่งกำเนิดของอารยธรรมตะวันตกและวัฒนธรรมคริสเตียนตะวันตก และเป็นศูนย์กลางของคริสตจักรคาทอลิก นอกจากนี้โรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งนิกายโรมันคาทอลิกอีกด้วย
หลังสิ้นสุดยุคกลาง โรมได้อยู่ภายใต้การปกครองของพระสันตะปาปา เช่น สมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 และสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10 ผู้ซึ่งสร้างสรรค์ให้โรมกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาในอิตาลีเช่นเดียวกับฟลอเรนซ์[4] ซึ่งในยุคสมัยดังกล่าว ได้มีการก่อสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์แบบที่เห็นในปัจจุบัน และมีเกลันเจโลได้วาดภาพปูนเปียกประดับภายในโบสถ์น้อยซิสทีน ศิลปินและสถาปนิกที่มีชื่อเสียงอย่างบรามันเต แบร์นินี และราฟาเอล ซึ่งพำนักอยู่ในโรมเป็นครั้งคราว ได้มีส่วนช่วยสรางสรรค์สถาปัตยกรรมแบบสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาและแบบบารอกในโรมด้วยเช่นกัน
ใน พ.ศ. 2550 โรมเป็นเมืองที่มีผู้มาเยือนมากเป็นอันดับที่ 11 ของโลก มากเป็นอันดับสามในสหภาพยุโรป และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในอิตาลี[5] ศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ใจกลางเมืองได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นแหล่งมรดกโลก[6] นอกจากนี้ อนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์อย่างพิพิธภัณฑ์วาติกันและโคลอสเซียมยังจัดอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมมากที่สุด 50 อันดับแรกของโลก (พิพิธภัณฑ์วาติกันมีนักท่องเที่ยว 4.2 ล้านคนต่อปี และโคลอสเซียมมี 4 ล้านคนต่อปี)[7]
ที่มาของชื่อ
[แก้]เรื่องราวของที่มาของชื่อ โรมา นั้น มีข้อสันนิษฐานอยู่มากมาย ข้อสันนิษฐานที่สำคัญได้แก่
- มาจาก Rommylos (โรมุลุส) บุตรของอัสกานีอุส และเป็นผู้ก่อตั้งเมือง
- มาจาก Rumon หรือ Rumen ชื่อในสมัยโบราณของแม่น้ำไทเบอร์ มีรากศัพท์เดียวกับคำว่า ῥέω (rhèo) ในภาษากรีกโบราณ และคำว่า ruo ในภาษาละติน ทั้งสองคำหมายถึง "กระแสน้ำไหล"
- มาจากคำว่า ruma ในภาษาอิทรัสคัน มีรากศัพท์มาจากคำว่า *rum- หมายถึง "หัวนม" ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจอ้างอิงถึงหมาป่าที่เลี้ยงดูและให้นมสองพี่น้องแฝด โรมูลุสและเรมุส หรืออาจอ้างอิงถึงรูปร่างของเนินเขา Palatine และ Aventine
- มาจากคำว่า ῤώμη (rhòme) ในภาษากรีกโบราณ หมายถึง ความแข็งแกร่ง
ประวัติศาสตร์
[แก้]- ดูบทความหลักที่ ประวัติศาสตร์โรม
โรมมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 2,800 ปี ตั้งอยู่บนเนินเขาทั้งเจ็ดริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ตอนกลางของประเทศ โดยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรในอดีตมากมาย เช่น ราชอาณาจักรโรมัน สาธารณรัฐโรมัน และจักรวรรดิโรมัน โรมเคยเป็นเมืองที่มีบทบาทมากที่สุดของอารยธรรมตะวันตก และในอดีตได้เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันได้เป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีตั้งแต่ ค.ศ. 1870
ประวัติศาสตร์ตอนต้น
[แก้]หลักฐานทางโบราณคดีแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ที่เป็นโรมในปัจจุบัน มีมนุษย์เข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างน้อย 14,000 ปีมาแล้ว แต่มีชั้นเศษหินหนาที่อายุน้อยกว่านั้นมากปกคลุมชั้นผิวดินตั้งแต่ยุคหินเก่าและยุคหินใหม่[8] นอกจากนี้ หลักฐานของเครื่องมือหิน เครื่องปั้นดินเผา และอาวุธหิน ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่ในพื้นที่อย่างน้อย 10,000 ปีมาแล้ว ซึ่งตำนานการก่อตั้งโรมที่เป็นที่รู้จักดีก็อาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดไปจากจุดเริ่มต้นของโรมที่แท้จริงและเกิดขึ้นมานานกว่าในตำนานมาก
ราชาธิปไตย สาธารณรัฐ และจักรวรรดิ
[แก้]ประวัติศาสตร์ตอนต้นของโรมนั้นถูกเล่าขานในรูปของตำนาน ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า โรมก่อตั้งขึ้นได้โรมูลุส[9] เมื่อวันที่ 21 เมษายน 210 ปีก่อนพุทธกาล[10]
การปกครอง
[แก้]เมืองหลวงของอิตาลี
[แก้]โรมเป็นเมืองหลวงของอิตาลี และเป็นที่ตั้งของทำเนียบรัฐบาลอิตาลี ทั้งที่พำนักของประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิตาลีและนายกรัฐมนตรีอิตาลี อาคารรัฐสภาอิตาลี และศาลรัฐธรรมนูญอิตาลี ล้วนแต่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ ที่ทำการของกระทรวงต่างๆ ตั้งกระจายอยู่ทั่วเมือง รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศที่ตั้งอยู่ในปาลัซโซเดลลาฟาร์เนซีนาใกล้กับสนามกีฬาโอลิมปิก
เทศบาลเมือง
[แก้]โรมจัดเป็นหนึ่งในหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่น 8,101 หน่วยของอิตาลี และเป็นหน่วยที่ใหญ่ที่สุดทั้งในด้านพื้นที่และจำนวนประชากร บริหารโดยสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี โดย Gianni Alemann ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีคนปัจจุบัน สำนักงานเทศบาลคือ ปาลัซโซเซนาโตรีโอ บนเนินคาปิโตไลน์ โดยทั่วไปแล้วการปกครองส่วนท้องถิ่นในโรมจะถูกเรียกว่า "Campidoglio" ซึ่งเป็นชื่อเนินเขาในภาษาอิตาเลียน
รีโอนีของโรม
[แก้]โรมสามารถแบ่งออกเป็นพื้นที่ย่อยอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่การแบ่งเขตปกครอง โดยศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์จะแบ่งออกเป็นพื้นที่ย่อยที่เรียกว่า รีโอนี (rioni) โดยมีทั้งหมด 22 รีโอนี ซึ่งนอกจากรีโอนีปราตีและบอร์โกแล้ว รีโอนีอื่น ๆ ล้วนแต่อยู่ภายในกำแพงออเรเลียนทั้งสิ้น
จำนวนของรีโอนีมีการเปลี่ยนแปลงมาทุกยุคสมัย ตั้งแต่สมัยโรมโบราณ ยุคกลาง[12] จนถึงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2286 สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 14 ได้ทรงแบ่งพื้นที่ของรีโอนีอย่างเป็นระเบียบมากขึ้น
ในระยะแรกหลังจากจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 สิ้นอำนาจ การแบ่งพื้นที่ในโรมยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก จนกระทั่งโรมได้กลายเป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ ความจำเป็นในการก่อตั้งเมืองหลวงแห่งใหม่นี้ทำให้เกิดการพัฒนาให้เป็นเมืองครั้งใหญ่และมีประชากรเพิ่มมากขึ้นทั้งในพื้นที่ภายในและภายนอกกำแพงออเรเลียน ใน พ.ศ. 2417 ได้มีการก่อตั้งรีโอนีเอสกวีลีโนขึ้นโดยแยกออกจากรีโอนีมอนตี ทำให้ในขณะนั้นมีรีโอนีทั้งหมด 15 พื้นที่ หลังจากเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 20 บางรีโอนีก็ได้แบ่งตัวออกและพื้นที่บางส่วนนอกกำแพงออเรเลียนก็เริ่มถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเมือง
ใน พ.ศ. 2464 จำนวนรีโอนีเพิ่มขึ้นเป็น 22 พื้นที่ โดยปราตีเป็นรีโอนีล่าสุดที่ก่อตั้งขึ้น และเป็นเพียงรีโอนีเดียวที่อยู่นอกกำแพงเมือง
รายชื่อของรีโอนีทั้งหมดในยุคใหม่ มีดังต่อไปนี้
ภูมิศาสตร์
[แก้]ที่ตั้ง
[แก้]โรมตั้งอยู่ในแคว้นลัตซีโยทางตอนกลางของอิตาลี ริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ นิคมแรกเริ่มตั้งขึ้นบนเนินเขาที่หันหน้าไปทางบริเวณน้ำตื้นด้านข้างเกาะไทเบอร์ ซึ่งเป็นบริเวณน้ำตื้นตามธรรมชาติเพียงแห่งเดียวตามลำน้ำในพื้นที่นี้ Rome of the Kings สร้างขึ้นบนเนินเขาเจ็ดแห่ง ได้แก่ เนินเขา Aventine เนินเขา Caelian เนินเขา Capitoline เนินเขา Esquiline เนินเขา Palatine เนินเขา Quirinal และเนินเขา Viminal นอกจากนี้ โรมในยุคใหม่ยังมีพื้นที่พาดผ่านแม่น้ำอานีเอเน ที่บรรจบกับแม่น้ำไทเบอร์บริเวณทางเหนือของศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์
แม้ว่าใจกลางเมืองจะอยู่ห่างจากทะเลติร์เรเนียนประมาณ 24 กิโลเมตร แต่อาณาเขตของเมืองก็ขยายออกไปจนถึงชายฝั่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของย่าน Ostia พื้นที่ตอนกลางของโรมมีระดับความสูงแตกต่างกันตั้งแต่ 13 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล (ที่ฐานของแพนธีออน) ไปจนถึง 139 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล (ที่ยอดเนินมอนเตมารีโอ)[13] เขตการปกครองส่วนท้องถิ่นของโรมครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,285 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีพื้นที่สีเขียวอยู่หลายแห่ง
ภูมิอากาศ
[แก้]ข้อมูลภูมิอากาศของโรม-ท่าอากาศยานชีอัมปีโน ใกล้ใจกลางเมือง (พ.ศ. 2504–2533) | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 11.8 (53.2) |
13.0 (55.4) |
15.2 (59.4) |
18.1 (64.6) |
22.9 (73.2) |
27.0 (80.6) |
30.4 (86.7) |
30.3 (86.5) |
26.8 (80.2) |
21.8 (71.2) |
16.3 (61.3) |
12.6 (54.7) |
20.5 (68.9) |
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) | 7.3 (45.1) |
8.3 (46.9) |
10.1 (50.2) |
12.8 (55) |
17.0 (62.6) |
20.9 (69.6) |
23.9 (75) |
23.9 (75) |
20.8 (69.4) |
16.3 (61.3) |
11.6 (52.9) |
8.3 (46.9) |
15.3 (59.5) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 2.7 (36.9) |
3.5 (38.3) |
5.0 (41) |
7.5 (45.5) |
11.1 (52) |
14.7 (58.5) |
17.4 (63.3) |
17.5 (63.5) |
14.8 (58.6) |
10.8 (51.4) |
6.8 (44.2) |
3.9 (39) |
10.0 (50) |
หยาดน้ำฟ้า มม (นิ้ว) | 102.6 (4.039) |
98.5 (3.878) |
67.5 (2.657) |
65.4 (2.575) |
48.2 (1.898) |
34.4 (1.354) |
22.9 (0.902) |
32.8 (1.291) |
68.1 (2.681) |
93.7 (3.689) |
129.6 (5.102) |
111.0 (4.37) |
874.7 (34.437) |
วันที่มีหยาดน้ำฟ้าโดยเฉลี่ย | 9.0 | 8.8 | 8.7 | 8.7 | 5.8 | 4.4 | 2.2 | 3.2 | 5.6 | 7.6 | 10.9 | 9.6 | 84.5 |
จำนวนชั่วโมงที่มีแดด | 120.9 | 132.8 | 167.4 | 201.0 | 263.5 | 285.0 | 331.7 | 297.6 | 237.0 | 195.3 | 129.0 | 111.6 | 2,472.8 |
แหล่งที่มา: Italiano della Meteorologia[14] |
ข้อมูลภูมิอากาศของท่าอากาศยานโรมาอุรเบ (ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล: 24 เมตร, ห่าง 7 กม. ทางทิศเหนือของโคลอสเซียม satellite view) | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 20.2 (68.4) |
23.6 (74.5) |
27.0 (80.6) |
28.3 (82.9) |
33.1 (91.6) |
36.8 (98.2) |
40.0 (104) |
39.6 (103.3) |
37.6 (99.7) |
31.4 (88.5) |
26.0 (78.8) |
22.8 (73) |
40.0 (104) |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 12.6 (54.7) |
14.0 (57.2) |
16.5 (61.7) |
18.9 (66) |
23.9 (75) |
28.1 (82.6) |
31.5 (88.7) |
31.7 (89.1) |
27.5 (81.5) |
22.4 (72.3) |
16.5 (61.7) |
13.2 (55.8) |
21.4 (70.5) |
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) | 7.4 (45.3) |
8.4 (47.1) |
10.4 (50.7) |
12.9 (55.2) |
17.3 (63.1) |
21.2 (70.2) |
24.2 (75.6) |
24.5 (76.1) |
20.9 (69.6) |
16.4 (61.5) |
11.2 (52.2) |
8.2 (46.8) |
15.3 (59.5) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 2.1 (35.8) |
2.7 (36.9) |
4.3 (39.7) |
6.8 (44.2) |
10.8 (51.4) |
14.3 (57.7) |
16.9 (62.4) |
17.3 (63.1) |
14.3 (57.7) |
10.5 (50.9) |
5.8 (42.4) |
3.1 (37.6) |
9.1 (48.4) |
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | -9.8 (14.4) |
-6.0 (21.2) |
-9.0 (15.8) |
-2.5 (27.5) |
3.7 (38.7) |
6.2 (43.2) |
9.8 (49.6) |
8.6 (47.5) |
5.4 (41.7) |
0.0 (32) |
-7.2 (19) |
-5.4 (22.3) |
−9.8 (14.4) |
หยาดน้ำฟ้า มม (นิ้ว) | 69.5 (2.736) |
75.8 (2.984) |
59.0 (2.323) |
76.2 (3) |
49.1 (1.933) |
40.7 (1.602) |
21.0 (0.827) |
34.1 (1.343) |
71.8 (2.827) |
107.0 (4.213) |
109.9 (4.327) |
84.4 (3.323) |
798.5 (31.437) |
วันที่มีหยาดน้ำฟ้าโดยเฉลี่ย (≥ 1 mm) | 7.6 | 7.4 | 7.8 | 8.8 | 5.6 | 4.1 | 2.3 | 3.2 | 5.6 | 7.7 | 9.1 | 8.5 | 77.7 |
จำนวนชั่วโมงที่มีแดด | 120.9 | 132.8 | 167.4 | 201.0 | 263.5 | 285.0 | 331.7 | 297.6 | 237.0 | 195.3 | 129.0 | 111.6 | 2,473 |
แหล่งที่มา: Servizio Meteorologico[15] (1971–2000) |
ประชากร
[แก้]ประชากรเกือบทั้งหมดของโรมพูดภาษาโรมาเนสโก (สำเนียงเฉพาะถิ่นของภาษาอิตาเลียน) ในชีวิตประจำวันและในสถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการ แต่เชื่อกันว่าทุกคนสามารถพูดภาษาอิตาเลียนมาตรฐานที่ใช้ในสถานการณ์ที่เป็นทางการมากขึ้นได้
|
|
|
ใน พ.ศ. 2550 ประชากรที่อาศัยอยู่ในโรมมีทั้งหมด 2,718,768 คน (ในพื้นที่มหานครโรมมีราว 4 ล้านคน) ในจำนวนนี้เป็นเพศชายร้อยละ 47.2 และเพศหญิงร้อยละ 52.8 เป็นผู้เยาว์ (อายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 18 ปี) ร้อยละ 17 และเป็นผู้รับบำนาญร้อยละ 20.76 เทียบกับค่าเฉลี่ยของชาวอิตาเลียนทั้งประเทศซึ่งเป็นผู้เยาว์ร้อยละ 18.06 และเป็นผู้รับบำนาญร้อยละ 19.94 อายุเฉลี่ยของประชากรในโรมอยู่ที่ 43 ปี เทียบกับค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศซึ่งอยู่ที่ 42 ปี ในระหว่าง พ.ศ. 2545–2550 ประชากรในโรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.54 ขณะที่ทั้งประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.56[16] อัตราการเกิดของประชากรในโรมอยู่ที่ 9.10 คนต่อประชากร 1,000 คน เทียบกับทั้งประเทศซึ่งอยู่ที่ 9.45 คน
กลุ่มชาติพันธุ์
[แก้]จากสถิติล่าสุดที่รวบรวมโดย ISTAT[17] ในโรมมีประชากรที่ไม่ใช่ชาวอิตาเลียนอยู่ราวร้อยละ 9.5 ของประชากรทั้งหมด กลุ่มของผู้ย้ายถิ่นเข้านั้นประกอบด้วยชาวยุโรปสัญชาติอื่นๆ (ส่วนใหญ่เป็นชาวโรมาเนีย โปแลนด์ ยูเครน และแอลบาเนีย) จำนวน 131,118 คน หรือร้อยละ 4.7 ของประชากรทั้งหมดและเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ย้ายถิ่นเข้าทั้งหมด อีกร้อยละ 4.8 เป็นผู้ย้ายถิ่นที่ไม่ใช่ชาวยุโรป ส่วนใหญ่เป็นชาวฟิลิปปินส์จำนวน 26,933 คน บังกลาเทศ 12,154 คน เปรู 10,530 คน จีน 10,283 คน และสัญชาติอื่น ๆ
ย่านเอสกวิลีโน นอกสถานีรถไฟแตร์มินี ได้พัฒนาเป็นย่านผู้ย้ายถิ่นเข้าขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันเป็นย่าน Chinatown ของโรม แต่ความจริงแล้วเป็นชุมชนของผู้ย้ายถิ่นจากกว่าหนึ่งร้อยประเทศ เนื่องจากเป็นย่านการค้าที่เฟื่องฟู จึงเป็นที่ตั้งของภัตตาคารจำนวนมากที่ให้บริการอาหารหลากหลายเชื้อชาติ
สถานที่สำคัญ
[แก้]สถาปัตยกรรม
[แก้]โรมโบราณ
[แก้]หนึ่งในสัญลักษณ์ของโรมคือ โคลอสเซียม ซึ่งเป็นทวีอัฒจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมาในจักรวรรดิโรมัน เดิมทีนั้นมีที่นั่งที่จุผู้ชมได้ 60,000 คน ใช้เป็นสถานที่จัดการประลองของนัก��่อสู้ โบราณสถานอื่นๆ ตั้งแต่สมัยโรมโบราณได้แก่ จัตุรัสโรมัน, Domus Aurea, แพนธีออน, เสาตรายานุส, Trajan's Market, สุสานใต้ดิน, กีร์กุสมักซิมุส, Baths of Caracalla, Castel Sant'Angelo, Mausoleum of Augustus, Ara Pacis, ประตูชัยคอนสแตนติน, Pyramid of Cestius และบอกกาเดลลาเวรีตะ
ยุคกลาง
[แก้]โรมเป็นเมืองที่มีโบราณสถานจากยุคกลางอยู่มากที่สุดเมืองหนึ่งในอิตาลี แต่โบราณสถานเหล่านี้มักจะถูกมองข้ามไป ตัวอย่างของโบสถ์จากยุค Paleochristian ได้แก่ มหาวิหารซานตามาเรียมายอเร และมหาวิหารเซนต์พอลนอกกำแพง (สร้างใหม่ครั้งใหญ่เมื่อศตวรรษที่ 19) ทั้งสองแห่งมีงานโมเสกอันทรงคุณค่าจากสมัยศตวรรษที่ 4 งานโมเสกและภาพปูนเป���ยกที่มีชื่อเสียงในยุคกลางช่วงถัดมาอยู่ที่โบสถ์ซันตามาเรียอินตรัสเตเวเร ซันตีกวัตโตโคโรนาตี และซันตาปรัสเซเด สิ่งก่อสร้างอื่นๆ ในยุคกลางได้แก่หอคอยต่างๆ โดยหอคอยสองแห่งที่ใหญ่ที่สุดคือ ตอร์เรเดลเลมีลีซีเอ และตอร์เรเดย์กอนตี ทั้งสองแห่งอยู่ถัดจากจัตุรัสโรมัน นอกจากนี้ บันไดขนาดใหญ่ที่ทอดสู่โบสถ์ซันตามาเรียอินอาราโกเอลีก็สร้างขึ้นในยุคกลางเช่นกัน
สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาและบาโรก
[แก้]โรมเคยเป็นศูนย์กลางในด้านศิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาของโลก โดยเป็นรองเพียงฟลอเรนซ์เท่านั้น ผลงานสถาปัตยกรรมอันยอดเยี่ยมจากสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาคือ เปียซซาเดลกัมปีโดกลีโอ โดยไมเคิลแองเจโล ในยุคสมัยนี้ ตระกูลชนชั้นสูงในโรมหลายตระกูลได้สร้างที่อยู่อาศัยอันมั่งคั่งไว้ เช่น พระราชวัง Quirinal (ปัจจุบันเป็นที่ทำการของประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิตาลี) พระราชวังเวเนเซีย พระราชวังฟาร์เนเซ พระราชวังบาร์เบรีนี พระราชวังกีจี (ปัจจุบันเป็นที่ทำการของนายกรัฐมนตรีอิตาลี) พระราชวังสปาดา ปาลัซโซเดลลากันเชลเลเรีย และวิลลาฟาร์เนซีนา
จัตุรัสหลายแห่งในโรมถูกสร้างขึ้นด้วยศิลปะแบบสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาและแบบบาโรก โดยจัตุรัสที่มีพื้นที่กว้างใหญ่และตกแต่งอย่างหรูหราโออ่ามักจะประดับด้วยเสาโอเบลิสก์ ตัวอย่างของจัตุรัสที่สร้างขึ้นในสมัยนี้ได้แก่ จัตุรัสนาโวนา บันไดสเปน Campo de' Fiore จัตุรัสเวเนเซีย จัตุรัสฟาร์เนเซ เปียซซาเดลลาโรทอนดา และเปียซซาเดลลามีแนร์วา หนึ่งในตัวอย่างของผลงานศิลปะบารอกที่ดีที่สุดคือ น้ำพุเตรวี สร้างโดยนีโกลา ซัลวี พระราชวังแบบบารอกในศตวรรษที่ 17 แห่งอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงได้แก่ พระราชวังมาดามา ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวุฒิสภาอิตาลี และพระราชวังมอนเตชีโตรีโอ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ Chamber of Deputies of Italy
ลัทธิคลาสสิกใหม่
[แก้]ใน พ.ศ. 2413 โรมได้รับการสถาปนาเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรอิตาลีที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ ในยุคสมัยดังกล่าว รูปแบบการก่อสร้างแบบคลาสสิกใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมสมัยโบราณ ได้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากต่อสถาปัตยกรรมในโรม อาคารแบบคลาสสิกใหม่หลายแห่งถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ตั้งของกระทรวง สถานเอกอัครราชทูต และหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐ สัญลักษณ์ของลัทธิคลาสสิกใหม่ในโรมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งคือ อนุสาวรีย์พระเจ้าวิกเตอร์ เอมมานูเอลที่สอง หรือ "แท่นบูชาแห่งปิตุภูมิ" ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานทหารนิรนามที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงชาวอิตาเลียน 650,000 คนที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่สอง
สถาปัตยกรรมฟาสซิสต์
[แก้]ระบอบฟาสซิสต์ที่มีอำนาจในอิตาลีระหว่าง พ.ศ. 2465–2486 ได้พัฒนารูปแบบสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมโรมันโบราณ พื้นที่ของสถาปัตยกรรมแบบฟาสซิสต์ที่สำคัญที่สุดในโรม คือ E.U.R. ออกแบบเมื่อ พ.ศ. 2481 โดยมาร์เชลโล เปียเชนตีนี แรกเริ่มนั้นตั้งใจให้เป็นสถานที่จัดงาน 1942 World Exhibition และถูกเรียกว่า "E.42" ("เอสโปซีซีโอเน 42") แต่งานดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกจัดขึ้นเนื่องจากอิตาลีเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองใน พ.ศ. 2483 ตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดของอาคารแบบฟาสซิสต์ใน E.U.R. คือ ปาลัซโซเดลลาชีวิลตะอีตาเลียนา (2481–2486) ซึ่งมีรูปทรงเป็นลูกบาศก์หรือโคลอสเซียมแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส
น้ำพุและลำรางส่งน้ำ
[แก้]โรมมีชื่อเสียงจากน้ำพุหลายแห่งที่ตั้งอยู่ในตัวเมือง ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยศิลปะแบบต่าง ๆ กัน ทั้งแบบคลาสสิก ยุคกลาง บาโรก ไปจนถึงคลาสสิกใหม่ น้ำพุในโรมริเริ่มสร้างมาตั้งแต่เมื่อราวสองพันปีก่อน โดยใช้สำหรับแจกจ่ายน้ำดื่มและเพื่อประดับตกแต่งจัตุรัสต่าง ๆ ในยุคสมัยของจักรวรรดิโรมัน ราว พ.ศ. 632 บันทึกของ Sextus Julius Frontinus กงสุลโรมันผู้ได้รับขนานนามว่า curator aquarum หรือผู้พิทักษ์น้ำแห่งนคร ได้กล่าวไว้ว่า โรมมีลำรางส่งน้ำอยู่เก้ารางสำหรับแจกจ่ายน้ำให้น้ำพุ 39 แห่งและแหล่งน้ำสาธารณะอีก 591 แห่ง โดยไม่นับรวมน้ำที่ส่งไปยังพระราชวัง โรงอาบน้ำ และบ้านพักส่วนตัว น้ำพุที่สำคัญแต่ละแห่งจะเชื่อมต่อกับลำรางส่งน้ำแห่งละสองราง เพื่อสำรองไว้ในกรณีที่รางใดรางหนึ่งหยุดแจกจ่ายน้ำ[18] ในระหว่างศตวรรษที่ 17–18 เหล่าพระสันตะปาปาที่ดำรงตำแหน่งในช่วงเวลาดังกล่าวได้ทรงบูรณะลำรางส่งน้ำสมัยโรมันที่ทรุดโทรม และสร้างน้ำพุใหม่เพื่อประกาศอาณาเขตแห่งอำนาจ จึงถือว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นยุคทองแห่งน้ำพุในโรม น้ำพุในโรมสะท้อนให้เห็นศิลปะบาโรกในรูปแบบใหม่เช่นเดียวกับภาพวาดของรูเบนส์ โดยประดับไปด้วยองค์ประกอบในเชิงอุปมาที่เต็มไปด้วยอารมณ์และการเคลื่อนไหว สำหรับน้ำพุเหล่านี้ รูปสลักได้กลายเป็นองค์ประกอบหลัก และน้ำถูกใช้เพื่อทำให้รูปสลักดูเสมือนมีชีวิตและสวยงามมากขึ้น นอกจากนี้ น้ำพุเหล่านี้ยังคล้ายกับสวนแบบบาโรกในด้านของการเป็น "สัญลักษณ์แห่งความเชื่อมั่นและอำนาจ"[19]
เสา
[แก้]ในโรมมีเสาโอเบลิสก์สมัยอียิปต์โบราณแปดต้น และสมัยโรมันโบราณห้าต้น นอกจากนี้ยังมีเสาโอเบลิสก์ยุคใหม่อีกจำนวนหนึ่ง และยังเคยมีเสาโอเบลิสก์สมัยเอธิโอเปียโบราณตั้งอยู่อีกด้วย[20] เสาโอเบลิสก์บางต้นตั้งอยู่ในจัตุรัส เช่น จัตุรัสนาโวนา จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ จัตุรัสมอนเตชีโตรีโอ ปีอัซซาเดลโปโปโล และบางต้นตั้งอยู่ในบ้านพัก โรงอาบน้ำ และสวน เช่นในวิลลาเชลีมอนตานา Baths of Diocletian และ Pincian Hill นอกจากนี้ ในตัวเมืองยังเป็นที่ตั้งของเสาตรายานุสและ Antonine Column ซึ่งเป็นเสาสมัยโรมันโบราณ
สะพาน
[แก้]ในตัวเมืองโรมมีสะพานที่มีชื่อเสียงหลายแห่งทอดข้ามแม่น้ำไทเบอร์ ตัวอย่างเช่น สะพานเชสตีโอ สะพานมิลวีโอ สะพานโนเมนตาโน สะพานซันตันเจโล สะพานวิกเตอร์ เอมมานูเอลที่สอง สะพานซิสโต และปอนเตเดอีกวัตโตรคาปี ปัจจุบันมีสะพานสมัยโรมันโบราณทั้งหมดห้าแห่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในโรม[21] สะพานในพื้นที่สาธารณะส่วนให���่ในโรมสร้างขึ้นด้วยศิลปะแบบคลาสสิกหรือแบบสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา แต่ก็มีบางส่วนที่สร้างขึ้นด้วยศิลปะแบบบารอก คลาสสิกใหม่ หรือนวศิลป์ ตามข้อมูลในสารานุกรมบริแทนนิกา สะพานโบราณที่จัดว่างดงามที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ในโรม คือ สะพานซันตันเจโล ซึ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 678 ต่อมาได้ประดับด้วยรูปสลักเทวทูตสิบรูปที่ออกแบบโดยจานลอเรนโซ เบร์นินี เมื่อ พ.ศ. 2231[22]
สุสานใต้ดิน
[แก้]โรมมีสุสานโบราณใต้ดินอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งข้างใต้ตัวเมืองและใกล้ตัวเมือง โดยมีอยู่อย่างน้อยสี่สิบแห่ง และบางแห่งเพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา สุสานที่มีชื่อเสียงมักจะเป็นสุสานของคริสต์ศาสนิกชน แต่ก็มีสุสานของชาวเพเกินและชาวยิวอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจเป็นสุสานที่แยกต่างหากจากกัน หรือฝังอยู่รวมกันก็ได้ สุสานใต้ดินขนาดใหญ่แห่งแรกถูกขุดขึ้นเมื่อราวศตวรรษที่ 2 แรกเริ่มนั้นสุสานเหล่านี้จะสลักเข้าไปในหินเถ้าภูเขาไฟที่ไม่แข็งนัก โดยจะขุดไว้นอกเขตเมืองเนื่องจากกฎหมายสมัยโรมันห้ามไม่ให้สร้างสิ่งก่อสร้างใต้ดินภายในเขตเมือง ปัจจุบันการบำรุงรักษาสุสานใต้ดินเป็นพระกรณียกิจของพระสันตะปาปา
เศรษฐกิจ
[แก้]ประชากรในเขตของโรมผลิตจีดีพีได้ประมาณ 6.7% ของจีดีพีรวมทั้งประเทศ (97 พันล้านยูโร) อุตสาหกรรมหลักของโรมคือการท่องเที่ยว นอกจากนี้โรมยังเป็นศูนย์กลางการธนาคาร การพิมพ์ การประกันภัย และแฟชั่น
การศึกษา
[แก้]มหาวิทยาลัย
[แก้]- มหาวิทยาลัยของรัฐ
- Sapienza University of Rome หรือที่รู้จักในชื่อ Roma 1 (Rome 1)
- University of Rome Tor Vergata หรือที่รู้จักในชื่อ Roma 2 (Rome 2)
- Roma Tre University
- Istituto Universitario di Scienze Motorie
- มหาวิทยาลัยเอกชน
- Libera Università Internazionale degli Studi Sociali Guido Carli
- อูนีแวร์ซีตะกัตโตลีกาเดลซาโกรกูโอเร (มีศูนย์กลางอยู่ในมิลาน แต่มีคณะตั้งอยู่ในโรม)[23]
- อูนีแวร์ซีตะกัมปุสบีโอเมดีโก
- Università Europea di Roma
- John Cabot University เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนจากสหรัฐอเมริกา
- Libera università Maria SS. Assunta
- เลโอนาร์โดดาวินชีลีเบราอูนีแวร์ซีตะดีโรมา
- S. Pio V University of Rome
- Università UPTER, a folk high school
- Università I.S.S.A.S.
- Università degli studi "Guglielmo Marconi"
- Touro University Rome
วัฒนธรรม
[แก้]ความบันเทิงศิลปะการแสดงและการท่องเที่ยว
[แก้]ศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์แห่งกรุงโรม ทรัพย์สินและดินแดนของนครรัฐวาติกันเหนือสิทธิสภาพนอกอาณาเขต และซานเปาโลฟูโอรี เล มูรา * | |
---|---|
แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก | |
ประเทศ | อิตาลี และ นครรัฐวาติกัน |
ภูมิภาค ** | ยุโรปและอเมริกาเหนือ |
ประเภท | วัฒนธรรม |
เกณฑ์พิจารณา | i, ii, iii, iv, vi |
อ้างอิง | 91 |
ประวัติการขึ้นทะเบียน | |
ขึ้นทะเบียน | 2523 (คณะกรรมการสมัยที่ 4) |
เพิ่มเติม | 2533 |
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีแหล่งมรดกโลก ** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก |
โรมเป็นศูนย์กลางหลักด้านการวิจัยทางโบราณคดีแห่งหนึ่งของโลก มีสถาบันด้านวัฒนธรรมและการวิจัยตั้งอยู่หลายแห่ง เช่น American Academy in Rome[24] The Swedish Institute at Rome[25] นอกจากนี้ยังมีโบราณสถานตั้งอยู่มากมาย เช่น โรมันฟอรัม Trajan's Market Trajan's Forum[26] โคลอสเซียม แพนธีออน โดยเฉพาะโคลอสเซียมที่จัดว่าเป็นโบราณสถานที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในโรม และยังจัดเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก[27][28]
สื่อ
[แก้]หนังสือพิมพ์ นิตยสาร สถานีวิทยุและโทรทัศน์ที่มีสำนักงานอยู่ในโรม มีดังต่อไปนี้
หนังสือพิมพ์ | นิตยสาร | โทรทัศน์ | วิทยุ |
---|---|---|---|
|
|
|
|
กีฬา
[แก้]โรมได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1960 และเป็นตัวแทนในการแข่งขันจัดการแข่งขัน โอลิมปิกฤดูร้อน 2016 กีฬาที่นิยมเล่นมากสุดคือฟุตบอลเช่นเดียวกับเมืองอื่นในประเทศ โดยมีสตาดีโอโอลิมปีโกเป็นสนามฟุตบอลประจำเมืองที่ได้เป็นสนามแข่งขัน ฟุตบอลโลก 1990 และเป็นสนามเหย้าของ สโมสรกีฬาโรมาและสโมสรกีฬาลัตซีโย นอกจากฟุตบอลแล้ว รักบี้เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมีสตาดีโอฟลามีนีโอเป็นสนามรักบี้สำหรับรักบี้ทีมชาติของอิตาลี ซึ่งได้เข้าร่วมการแข่งขันระดับชาติตั้งแต่ ค.ศ. 2000 โดยมีทีมที่มีชื่อเสียงคือ ยูนีโอเนรักบี้คาปีโตลีนา รักบี้โรมา และสโมสรกีฬาลัตซีโย การแข่งขันจักรยานเริ่มเป็นที่นิยมภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โรมได้เป็นสถานที่จัดการแข่งขัน จีโรดีตาเลีย สองครั้งในปี ค.ศ. 1989 และ 2000 ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จะมีการแข่งขันมาราธอนประจำปี นอกจากนี้โรมยังมีทีมกีฬาอาชีพที่เป็นที่รู้จักหลายอย่างเช่น พาลลาคาเนโตรเวร์ตุสโรมา (บาสเกสตบอล) สโมสรกีฬาลัตซีโย (แฮนด์บอล) โรมาวอลเลย์ เวอร์ตุสโรมา และ ลีเนอาเมดีกาชีรัมโรมา (วอลเลย์บอล) และ สโมสรกีฬาโรมา และสโมสรกีฬาลัตซีโย (โปโลน้ำ)
แฟชั่น
[แก้]โรมได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างในฐานะเมืองหลวงด้านแฟชั่นของโลก ตามข้อมูลจาก 2009 Global Language Monitor นั้น แม้ว่าโรมจะไม่ได้มีความสำคัญด้านแฟชั่นมากเท่ามิลาน แต่ก็เป็นศูนย์กลางด้านแฟชั่นที่มีความสำคัญมากเป็นอันดับที่สี่ของโลก รองจากมิลาน นิวยอร์ก และปารีส และจัดว่าเหนือกว่าลอนดอน[29]
องค์การและความสัมพันธ์ระหว่างประเท���
[แก้]โรมเป็นเมืองเดียวในโลกที่มีรัฐเอกราชตั้งอยู่ภายในอาณาเขตของเมือง คือ นครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนแทรกของโรม และอยู่ภายใต้อธิปไตยในฝ่ายบริหารสูงสุดแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก ในโรมเป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตทั้งสำหรับอิตาลีและนครรัฐวาติกัน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเอกอัครราชทูตคนเดียวกันจะถูกส่งมาประจำสำหรับทั้งสองรัฐ
โรมยังเป็นที่ตั้งของหน่วยงานระหว่างประเทศของสหประชาชาติ เช่น โครงการอาหารโลก (WFP) องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และกองทุนระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม (IFAD)
โรมมีส่วนร่วมในกระบวนการบูรณาการทางการเมืองของยุโรปมาเป็นเวลานานแล้ว ใน พ.ศ. 2500 โรมเป็นสถานที่จัดการลงนามในสนธิสัญญากรุงโรมเพื่อก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (ต่อมาคือสหภาพยุโรป) และยังเป็นสถานที่จัดการลงนามรับรองธรรมนูญสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2547
เมืองแฝด เมืองพี่น้อง
[แก้]เมืองแฝดของโรมเพียงเมืองเดียวมาตั้งแต่ พ.ศ. 2499 คือ
- ปารีส ฝรั่งเศส* (Seule Paris est digne de Rome; seule Rome est digne de Paris / Solo Parigi è degna di Roma; Solo Roma è degna di Parigi / "มีเพียงปารีสที่มีค่าควรแก่โรม มีเพียงโรมที่มีค่าควรแก่ปารีส").[30][31][32]
เมืองพี่น้องและ Partner cities ของโรม ได้แก่
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Statistiche demografiche ISTAT". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 กรกฎาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2018.
- ↑ "Bilancio demografico Anno 2014 (dati provvisori). Provincia: Roma". Demo.istat.it. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2015.
- ↑ 3.0 3.1 ราชกิจจานุเบกษา. "ประกาศสำนักงานราชบัณฑิตยสภา เรื่อง กำหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง". เล่มที่ 139 ตอนพิเศษ 205 ง. 1 กันยายน 2565.
- ↑ "Rome, city, Italy". Columbia Encyclopedia (6th ed.). 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-04-20. สืบค้นเมื่อ 2010-11-27.
- ↑ Bremner, Caroline (12 ธันวาคม 2008). "Euromonitor International's Top City Destinations Ranking". Euromonitor International. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 มกราคม 2010. สืบค้นเมื่อ 2 มีนาคม 2010.
- ↑ "Historic Centre of Rome, the Properties of the Holy See in that City Enjoying Extraterritorial Rights and San Paolo Fuori le Mura". UNESCO World Heritage Center. สืบค้นเมื่อ 8 มิถุนายน 2008.
- ↑ "Itv News | The 50 Most Visited Places in The World". Itvnews.tv. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 ตุลาคม 2009. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2009.
- ↑ Heiken, G.; Funiciello, R; De Rita, D. (2005). The Seven Hills of Rome: A Geological Tour of the Eternal City. Princeton University Press.
- ↑ Livy, Ab Urbe Condita I, 7
- ↑ "Rome: Pre-20th-Century History". Lonely Planet. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 ตุลาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 4 กรกฎาคม 2008.
- ↑ "University of Oregon". Nolli.uoregon.edu. 25 กันยายน 2006. สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2010.
- ↑ "Romeartlover.it". Romeartlover.it. สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2010.
- ↑ Ravaglioli, Armando (1997). Roma anno 2750 ab Urbe condita (ภาษาอิตาลี). Rome: Tascabili Economici Newton. ISBN 88-818-3670-X.
- ↑ "Visualizzazione tabella CLINO della stazione / CLINO Averages Listed for the station Roma Ciampino". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 ธันวาคม 2009. สืบค้นเมื่อ 16 มิถุนายน 2010.
- ↑ "Tabelle climatiche 1971–2000 della stazione meteorologica di Roma-Urbe Ponente dall'Atlante Climatico 1971–2000" (PDF). Servizio Meteorologico dell'Aeronautica Militare. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 17 May 2012.
- ↑ "Statistiche demografiche ISTAT". Demo.istat.it. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 เมษายน 2009. สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2010.
- ↑ "Vista per singola area". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 มิถุนายน 2013.
- ↑ Frontin, Les Aqueducs de la ville de Rome, translation and commentary by Pierre Grimal, Société d'édition Les Belles Lettres, Paris, 1944.
- ↑ Italian Gardens, a Cultural History, Helen Attlee. Francis Lincoln Limited, London 2006.
- ↑ "Chasing Obelisks in Rome". Initaly.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2010. สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2010.
- ↑ "The Bridges of Ancient Rome". Citrag.it. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 มกราคม 2010. สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2010.
- ↑ "Sant'Angelo Bridge". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2010.
- ↑ Nella sede romana sono presenti le facoltà di medicina e di economia.
- ↑ "AIRC-HC Program in Archaeology, Classics, and Mediterranean Culture". Romanculture.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 มีนาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2010.
- ↑ "Isvroma.it". Isvroma.it. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 กรกฎาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2010.
- ↑ James E. Packer (มกราคม–กุมภาพันธ์ 1998). "Trajan's Glorious Forum". Archaeology. Archaeological Institute of America. 51 (1). สืบค้นเมื่อ 2 ตุลาคม 2010.
- ↑ I H Evans (reviser), Brewer's Dictionary of Phrase and Fable (Centenary edition Fourth impression (corrected); London: Cassell, 1975), page 1163
- ↑ Francis Trevelyan Miller, Woodrow Wilson, William Howard Taft, Theodore Roosevelt. America, the Land We Love (1915), page 201 Google Books Search
- ↑ "The Global Language Monitor » Fashion". Languagemonitor.com. 20 กรกฎาคม 2009. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2009.
- ↑ "Twinning with Rome". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 กันยายน 2012. สืบค้นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2010.
- ↑ "Les pactes d'amitié et de coopération". Mairie de Paris. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 มกราคม 2010. สืบค้นเมื่อ 14 ตุลาคม 2007.
- ↑ "International relations: special partners". Mairie de Paris. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 ธันวาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 14 ตุลาคม 2007.
- ↑ "Sister Cities". Beijing Municipal Government. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 มกราคม 2010. สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2009.
- ↑ "Le jumelage avec Rome" (ภาษาฝรั่งเศส). Municipalité de Paris. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 ธันวาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 9 กรกฎาคม 2008.
- ↑ "Mapa Mundi de las ciudades hermanadas". Ayuntamiento de Madrid. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2009.
- ↑ "NYC's Sister Cities". Sister City Program of the City of New York. 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 พฤษภาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน 2008.
- ↑ "Twinning Cities: International Relations" (PDF). Municipality of Tirana. www.tirana.gov.al. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2008. สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2009.
- ↑ Twinning Cities: International Relations. Municipality of Tirana. www.tirana.gov.al. สืบค้นเมื่อ 25 มกราคม 2008.
- ↑ "Cooperation Internationale" (ภาษาฝรั่งเศส). © 2003–2009 City of Tunis Portal. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 พฤษภาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 31 กรกฎาคม 2009.
- ↑ Jaffery, Owais (9 มิถุนายน 2011). "Sister cities: Multan celebrates Italy's national day". The Express Tribune. Pakistan. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2021. สืบค้นเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ 2020.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Rome travel guides ที่เว็บไซต์ Curlie
- City models of Ancient Rome, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 มกราคม 2010
- Vintage Rome: The Eternal City, Life magazine, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 กรกฎาคม 2010
- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของโรม (ในภาษาอิตาลี)
- APT (official Tourist Office) of the City of Rome (ในภาษาอังกฤษ)
- Rome Museums — Official site (ในภาษาอิตาลี)
- Vatican Museums (ในภาษาอังกฤษ)
- Capitoline Museums (ในภาษาอังกฤษ)