แก๊กต์
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
บทความนี้อาจต้องเขียนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพของวิกิพีเดีย หรือกำลังดำเนินการอยู่ คุณช่วยเราได้ หน้าอภิปรายอาจมีข้อเสนอแนะ |
แก๊กต์ (Gackt) | |
---|---|
แก๊กต์ ในปี 2017 | |
ข้อมูลพื้นฐาน | |
เกิด | 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2516 |
ที่เกิด | จังหวัดโอกินาวะ ประเทศญี่ปุ่น |
แนวเพลง | เจ-ร็อก,เจ-ป็อป |
อาชีพ | นักร้อง,นักดนตรี,นักแต่งเพลง,นักแสดง,โปรดิวเซอร์ นายแบบ,ดีไซเนอร์,นักพากย์,นักเขียน |
เครื่องดนตรี | เปียโน,ทรัมเป็ต,กีตาร์,เบส,ไวโอลิน,กลอง ชามิเซ็ง,บิวะ,ดนตรีออเครสตร้า |
ช่วงปี | พ.ศ. 2536 - ปัจจุบัน |
ค่ายเพลง | Nippon Crown AVEX G-Pro |
เว็บไซต์ | Gackt.com |
แก๊กต์ คามุอิ (ชื่อในวงการ Gackt Camui) (ญี่ปุ่น: 神威楽斗; โรมาจิ: Kamui Gakuto) เป็นนักร้อง เจ-ร็อก ชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น อดีตนักร้องนำวง วิชวล เคย์ (Visual Kei) Malice Mizer ซึ่งแยกตัวออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวในปี พ.ศ. 2542 และประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยเขายังเป็นคนแต่งเพลงของตัวเองอีกด้วย โดยมีซิงเกิลยอดนิยมคือ Mizérable, Vanilla, Lu:na และอื่นๆอีกมากมาย
ประวัติ
[แก้]ชีวิตวัยเด็ก
[แก้]กากุโตะ คามุอิ เกิดที่จังหวัดโอกินาวะ ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2516 ในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเขาบอกเพียงแต่วันและเดือนที่เกิด อย่างไรก็ตาม ใน DVD The Sixth Day & Seventh Night (ดูเพิ่มที่ [1] ได้โชว์ป้ายหลุมศพที่ใช้ในการแสดงสดซึ่งได้สลักข้อความว่า "Gackt 1973~2007" ซึ่งก็บอกความเป็นนัยๆได้ว่าแก๊กต์เกิดในปี ค.ศ. 1973 หรือ พ.ศ. 2516 นั่นเอง ครอบครัวของเขาประกอบด้วย พี่สาว แม่ซึ่งมักบังคับให้เขาเรียนเปียโนทั้งๆ ที่เขาเกลียดมันมากที่สุด และพ่อเป็นนักดนตรี แจ๊ส ที่เล่น ทรัมเป็ต ความสัมพันธ์ระหว่างแก๊กต์และพ่อของเขาไม่ดีนัก พวกเขามักต่อยตีกันเป็นประจำ และแก๊กต์มักจะแพ้พ่ออยู่เสมอ เพราะฉะนั้นในสมัยแก๊กต์ยังเด็ก เขามักจะมองพ่อของตนเป็นคู่แข่งคนสำคัญที่ต้องข้ามผ่านไปให้ได้
แก๊กต์เป็นเด็กไม่อยู่นิ่งและชอบที่จะเสี่ยงอันตราย นอกจากนี้เขายังเป็นเด็กที่มีความคิดแปลกประหลาด และลึกซึ้งเกินเด็กธรรมดาทั่วๆ ไป (เห็นได้จากที่แก๊กต์เคยเขียนไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติ [2] ของตัวเองว่า เขาเคยฝันอยากเป็นผู้ก่อการร้าย และวิธีการเอาตัวรอดจากการถูกขังลืมอยู่ในโรงพยาบาลเนื่องจากอาการที่แพทย์ลงความเห็นว่า "เขาป่วย" ซึ่งจะกล่าวในโอกาสต่อไป)
เขาเคยจมน้ำที่ชายฝั่ง โอกินาวะ เมื่อได้อายุ 7 ปี จากประสบการณ์เฉียดตายในครั้งนั้น ทำให้แก๊กต์กลายเป็นคนที่หลงใหลในกลิ่นอายของความตาย ดังนั้นเขาจึงมักทำในสิ่งที่เสี่ยงอันตรายเพื่อที่ได้เข้าใกล้ความเต้นตื่นเร้าใจในช่วงเวลาที่ใกล้ตายอยู่บ่อยครั้ง แต่สุดท้ายขณะที่นึกว่าตัวเองกำลังจะตาย เขาก็มักรู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดขีดและถอยหลังกลับมาเองทุกครั้ง นอกจากนี้เหตการณ์ครั้งนั้นยังทำให้เขาได้รับความสารถพิเศษกลับมาด้วย ความสามารถนั้นคือการสามารถในการมองเห็นและพูดคุยกับสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่า วิญญาณ ได้ ซึ่งนั้นก็รวมถึงสมาชิกในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้ว ในตอนแรกคนในครอบครัวก็คิดว่าเขาคงแกล้งทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร
ทว่า ... ต่อมาสายตาของคนรอบข้างก็มักจะมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ราวกับว่าเขาเป็นตัวประหลาด แม้แต่สายตาของคนในครอบครัวที่มอง แก๊กต์ก็ยังแฝงความหวาดกลัวต่อท่าทางของเขาอยู่เงียบๆ ซึ่งนั้นทำให้เขารู้สึกอึดอัดและกดดันอย่างมากกับการปฏิบัติที่เย็นชา และเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนในครอบครัว
แก๊กต์ไม่ได้รับการพิสูจน์จากสถาบันเพื่อยืนยันเรื่องที่เขามี สัมผัสที่หก ซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อของคนทั่ว ๆ ไป เมื่อเขาอายุได้ 10 ปี เขาก็ล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นเวลานานในแผนกกุมารเวชสำหรับเด็กที่เจ็บป่วยอย่างรุนแรงมันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตช่วงหนึ่งของเขาเลยทีเดียว
นอกจากจะต้องอยู่อย่างว้าเหว่ไร้การสนใจจากทางบ้านแล้ว เพื่อนที่เขาสนิทด้วยทุกคนมักจะเสียชีวิตหลังจากได้รู้จักกับเขาเพียงไม่นาน แม้ว่าทุกคนจะจากไปด้วยอาการป่วยระยะสุดท้ายอย่างไม่หลีกเลี่ยง แต่ด้วยวัยเพียง 10 ขวบ เขาจึงเข้าใจว่าตัวเองเป็นเด็กถูกสาป ทุกคนที่เข้ามาคุยด้วยจะต้องตายหมด ดังนั้นเขาจึงเริ่มกลายเป็นเด็กเก็บตัวและไม่คบหากับใครอีก และกลายเป็นคนที่ไม่สมดุลทางด้านจิตใจและเก็บกดในเวลาต่อมา
วันหนึ่งเมื่อความอดทนต่อสภาพภายในคุกซึ่งไร้ทางหนีที่มีแต่ความสิ้นหวังเท่านั้นที่รอคอยเขาอยู่นั้นได้ขาดสะบั้นลง ทำให้ แก๊กต์ไม่อาจจะทนทานความรู้สึกเหล่านั้นได้อีกต่อไป เขาจึงเริ่มมองหาทางที่จะได้ออกจากที่นี่ สุดท้ายเขาก็ค้นพบมัน และวิธีนั้นก็คือ 'การเลียนแบบ' เพื่อที่จะได้เป็น 'คนปกติ' เขาจึงเลียนแบบความ 'ปกติ' จากคุณหมอเจ้าของไข้ซึ่งมาตรวจอาการเขาทุกเช้า ทำซ้ำๆ กันอยู่อย่างนั้นถึงหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดคุณหมอเจ้าของไข้ก็ลงความเห็นว่าเขา 'ปกติ' แล้วส่งตัวเขากลับบ้าน ในบ่ายวันนั้นเอง (เนื้อหาที่กล่าวมาข้างต้นถูกเขียนอยู่ในหนังสือจิฮาคุ [2] ที่แก๊กต์เป็นผู้เขียน)
เกี่ยวกับดนตรี
[แก้]เนื่องจากเติบโตในครอบครัวนักดนตรี ดังนั้นเมื่อแก๊กต์อายุได้ 3 ปี พ่อแม่ของเขาจึงบังคับให้เรียน เปียโนคลาสสิก เพื่อที่จะได้กลายเป็นนักดนตรีเช่นเดียวกับพ่อในอนาคต โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ได้สนใจเปียโนเป็นพิเศษเลย เขาชอบออกไปเล่นกลางแจ้งเหมือนกันเด็กคนอื่นๆ มากกว่า แต่เพราะครูที่สอนเขาในตอนเริ่มเรียนนั้นเป็นคนตลก ทำให้เขาคิดว่าเขาอาจจะชอบมันก็ได้
ตอนอายุ 7 ปี เขาถูกส่งไปเรียนในโรงเรียนสอนเปียโน ซึ่งในบทเรียนในโรงเรียนนั้นเข้มงวดมาก ไม่เหมือนตอนที่เรียนกับครูคนแรกเลยสักนิด ในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มเกลียดมัน และวิธีการต่อต้านของเขาก็คือการทำตัวเป็นเด็กเกเร คอยหาเรื่องแกล้งครูที่สอนทุกวิถีทาง เพื่อให้ครูบอกกับที่บ้านว่าตัวเขาเป็นเด็กเหลือขอเกินกว่าจะมาเรียนเปียโนได้ สุดท้ายความพยายามของเขาก็ประสบผล ในตอนเขาอายุ 12 ปี เขาได้เลิกเรียนมันแล้วกลับไปเรียนในโรงเรียนภาคปกติในที่สุด
เหตุการณ์หนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขากลับมาเล่นเปียโนอีกครั้งคือเพื่อนสมัยตัวเขาอาย 14 เพื่อนคนนั้นอยู่ในครอบครัวนักดนตรีเช่นเดียวกัน (เป็นครูสอนเปียโน) ทว่าฐานะดีกว่ามากวันหนึ่งระหว่างที่โดดเรียนไปเที่ยวบ้านของเด็กคนนั้นเขาได้ตระหนักเป็นครั้งแรกว่าว่าเพื่อนคนนั้นเล่นเปียโนได้เก่งกว่าเขามากเพียงใด
ผลที่ได้ก็คือเขากลับไปซ้อมเปียโนที่เลิกลามานานอย่างบ้าคลั่ง วันทั้งวันเขานั่งอยู่หน้าเปียโนเพื่อซ้อมเล่นเพลงจากหนังสือที่ซื้อมา โดยไม่กิน ไม่นอน ในเวลานั้นเขาลืมเลือนทุกอย่างแม้แต่เวลาผ่านไปนานท่าไหร่เขาก็ไม่อาจรับรู้ได้ ไม่มีสิ่งใดมา��ำลายความตั้งใจของเขาได้ แม้กระทั่งเสียงอ้อนว้อนด้วยความเป็นห่วงจากผู้เป็นแม่ก็ตาม สิ่งที่เขารู้มีเพียงว่าตัวเองไม่อยากแพ้เพื่อนคนนั้น ความพ่ายแพ้เป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ที่สุด
หลังจากวันนั้นสิ่งที่ทำให้เขาสนใจดนตรีแนวร๊อคเริ่มจากพบรุ่นพี่คนหนึ่งซ้อมกลองอยู่เพียงลำพัง วินาทีนั้นเองที่ทำให้เขารู้สึกว่าการเป็นมือกลองเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆๆ ดังนั้นต่อจากเปียโนเขาจึงเริ่มศึกษาการตีกลองด้วยวิธีของตัวเขาเอง [2]
รายละเอียดปลีกย่อย
[แก้]ชื่อเล่นและฉายา
[แก้]แก๊กต์เป็นศิลปินที่มีผลงานมากมายในหลายสาขา จึงมีชื่อเล่นและฉายาที่ได้รับการตั้งจากคนหลายกลุ่ม อาทิ...
- กัคคุโตะ (ชื่อที่แฟนเพลงชาวญี่ปุ่นเรียก)
- กั๊คคุง (ชื่อเล่นที่ใช้ระหว่างเป็นพิธีกรรับเชิญในรายการ โดโมโตะ เคียวได ของ KinKi Kids)
- กัคคุจิ (ชื่อที่ ฮามาซากิ อายูมิ เป็นคนเรียก)
- กั้จจัง (ชื่อที่ ไฮด์ เรียก)
- มาโอซามะ (ชื่อที่สมาชิกของแฟนคลับ ~Dears~ และ แก๊กต์Job เรียก มีความหมายว่า "จอมมาร" หรือ "ราชาปีศาจ")
- โอยากาตะซามะ (ชื่อที่คนในกองถ่ายละครเรื่อง "ฟูริน คะซัง" และ "เอเนล" เรียก มีความหมายว่า "นายท่าน")
- จี (ชื่อที่เพื่อนในวงการส่วนใหญ่เรียก)
สัตว์เลี้ยง
[แก้]รายชื่อสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของแก๊กต์ เรียงตามลำดับในการเลี้ยง
- "เบล" หรือชื่อเต็ม "เบล คอนสแตนติน แชปปี้" (Belle Constantine Chappy) สุนัขเพศเมียพันธ์มินิเอเจอร์ ดัชชุน เสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2550 [3]
- "เมย์" แมวเพศเมียพันธุ์ เมนคูน
- "เอเนล" สุนัขเพศผู้พันธุ์ ลองโค้ทชิวาว่า
งานในวงการเพลง
[แก้]CAINS:FEEL
[แก้]แก๊กต์เริ่มการเป็นนักดนตรีอาชีพจากการเป็นมือกลองของวง CAINS:FEEL จุดเริ่มต้นของการเป็นนักร้องของเขาก็อยู่ที่นั้นด้วย เมื่อวันหนึ่ง "ยู" ซึ่งเป็นมือกีต้าร์ (ต่อมาได้กลายเป็นมือกีต้าร์ของ Gackt JOB) [4] ได้ชักชวนให้เขาร้องเพลง หลังจากนั้นเขาเริ่มเรียนร้องเพลง และในภายหลังสมาชิกส่วนใหญ่ของ CAINS:FEEL ก็ได้มาเป็นเล่นดนตรีเป็นแบ๊คอัพให้แก๊กต์หรือที่เรียกกันว่า Gackt JOB
Malice Mizer
[แก้]- ดูบทความหลักที่ Malice Mizer
แก๊กต์ได้เจอกับ มาน่า ซึ่งก็ได้ชวนเขาเข้าวงวิชวล เคย์ ที่มีชื่อว่า Malice Mizer ในปี พ.ศ. 2538 โดยแก๊กทำหน้าที่ร้องนำและเล่นเปียโน ในช่วงที่เขาอยู่ Malice Mizer แก๊กต์ทำการปิดบังชื่อจริง อายุ และที่อยู่ทั้งหมด เพื่อให้เข้ากับประวัติของสมาชิกในวงคนอื่นๆ โดยการแต่งกายของวงในช่วงนี้จะออกแนวขุนนาง ฝรั่งเศส เน้นที่สีสันที่ฉูดฉาด และให้อารมณ์โกธิก [5][6]
แก๊กต์เปิดตัวครั้งแรกในอัลบั้ม Voyage~sans retour ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้กับวงอย่างรวดเร็ว[5] และใน พ.ศ. 2540 ทางวงได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงใหญ่อย่าง Nippon Columbia [7] หลังจากนั้นทางวงก็มีผลงานอย่างมากมายทั้งซิงเกิล และภาพยนตร์สั้นอย่าง Bel Air ~Kuuhaku no Shunkan no Naka De~ de L'Image ในปี พ.ศ. 2541 ทางวงได้ปล่อยอัลบั้มที่สามที่ชื่อว่า Merveilles ภายใต้สังกัด Nippon Columbia และในช่วงนี้ทางวงยังมีรายการวิทยุเป็นของตัวเองอีกด้วย[5] หลังจากซิงเกิล Le Ciel แก๊กต์ก็ออกจากวงในปี พ.ศ. 2542 ทางวงได้หยุดเพื่อหานักร้องนำคนใหม่ ส่วนแก๊กต์หายหน้าไปจากวงการถึง 8 เดือน
สาเหตุการออกจากวงของเขาไม่มีใครทราบแน่ชัด โดยทางวงออกมากล่าวว่าความคิดเห็นทางแนวเพลงไม่เหมือนกัน แต่ตัวแก๊กต์เองกลับบอกว่าอันที่จริงตัวเขานั้นอยากอยู่ต่อ แต่ทางวงได้เชิญเขาออกเอง[2]
ศิลปินเดี่ยว
[แก้]หลังจากแก็กต์ออกจาก Malice Mizer เค้าก็เริ่มงานศิลปินเดี่ยวในปี พ.ศ. 2542 โดยมีวงแบ็กอัพคือ "Gackt JOB" ซึ่งประกอบไปด้วย
ยู (ไวโอลิน/กีตาร์) , ชาช่ามารุ (ลีดกีตาร์) , มาสะ (กีตาร์) , เร็น (เบส) , โทชิ (กลอง) , โยช (แด๊ซเซอร์) , และอิกาโอะ (คีย์บอร์ด) ภายหลังสมทบด้วย ริว และ จู-เคน และแก๊กต์ยังได้ตั้ง เดียร์ส (Dears) เป็นชื่อทางการของแฟนคลับเค้าอีกด้วย โดยเขาประสบความสำเร็จอย่างงดงามในฐานะศิลปินเดี่ยว[8] ด้วยคาแรกเตอร์ที่เป็นคนเงียบๆ ลึกลับปนตลกของเขา ทำให้เขามีแฟนคลับมากมายแม้กระทั่งต่างประเทศ เขาจึงก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินแนวหน้าของญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว[8]
แก๊กต์เริ่มต้นงานเดี่ยวครั้งแรกด้วยการปล่อยมินิอัลบั้ม "Mizerable"[9] ออกมา ซึ่งแนวเพลงยังคงมีกลิ่นอาย โกธิก และ คลาสสิก ร็อก[ต้องการอ้างอิง] เหมือนเมื่อสมัยเขาอยู่ Malice Mizer โดยภายในอัลบั้มได้บรรจุเพลง Story ซึ่งภายหลังได้นำมาอัดใหม่ และเปลี่ยนชื่อเป็น Saikai ~Story~[9] ซึงกลายเป็นซิงเกิลในปี พ.ศ. 2543 นอกจากนี้ในอัลบั้มนี้ยังสามารถขึ้นไปถึงอันดับสองใน Oricon Chart ได้สำเร็จอีกด้วย[10]
ในปี พ.ศ. 2543 แก๊กต์ได้ปล่อยอัลบั้มเต็มชุดแรก "MARS"[9] ออกมา โดยภายในอัลบั้มได้บรรจุเพลง U+K ซึ่งแก๊กต์แต่งเพลงนี้เพื่อระลึกถึง คามิ[11] มือกลองวง Malice Mizer เพื่อนสนิทของเขาที่เสียชีวิตไปเมื่อปี พ.ศ. 2542 นอกจากนี้อัลบั้มนี้ยังบรรจุเพลงยอดฮิตอย่าง Vanilla ซิงเกิลที่สองเข้าไปอีกด้วย นอกจากนี้แก๊กยังมีผลงานอย่างต่อเนื่อง และออกอัลบั้มต่อมา "Rebirth"[9] ในปี พ.ศ. 2544 แนวเพลงของแก๊กต์ก็เปลี่ยนไปกลายเป็น เจ-ป็อป[ต้องการอ้างอิง] แต่ยังคงไม่ทิ้งความเป็นร็อกของตนออกไป
ในปี พ.ศ. 2545 แก๊กต์ได้ปล่อยอัลบั้ม "Moon"[9] โดยตัวอัลบั้มไม่ได้บรรจุบุ๊กเล็ทมาด้วย มีเพียงแค่ข้อความสั้นที่ให้ผู้ซื้อใช้ "ความรู้สึก" ในการเดาเรื่องราวของอัลบั้ม[ต้องการอ้างอิง] ตัวอัลบั้มยังบรรจุเพลงยอดฮิตอย่าง ANOTHER WORLD และตัวอัลบั้มยังสามารถขึ้นไปถึงอันดับสองใน Oricon Chart อีกด้วย[10]
ในปี พ.ศ. 2546 อัลบั้มเต็มชุดที่สี่ "Crescent"[9] ก็วางขาย ซึ่งชื่อของอัลบั้มนี้หมายถึง "ดวงจันทร์ครึ่งซีก" ซึ่งแก๊กต์จงใจที่จะทำให้อัลบั้มนี้มีความ "เกี่ยวโยง" กับอัลบั้ม Moon[ต้องการอ้างอิง] โดยตัวอัลบั้มได้แถมบุ๊กเล็ทของอัลบั้ม Moon มาด้วย นอกจากนี้ในอัลบั้มนี้ยังบรรจุเพลง "Orenji no Taiyou" (オレンジの太陽) ซึ่งเป็นเพลงประกอบหนังเรื่อง Moonchild ซึ่งได้ ไฮด์ นักร้องนำจากวง L'Arc~en~Ciel มาร่วมร้องอีกด้วย
ในปี พ.ศ. 2547 แก๊กต์ได้ปล่อยอัลบั้ม "The Sixth Day: Single Collection"[9] และ "The Seventh Night: Unplugged"[9] ซึ่งเป็นอัลบั้ม Compilations โดย The Sixth Day เป็นการรวมซิงเกิลยอดฮิตของแก๊กเข้าไว้ด้วยกัน ส่วน The Seventh Night เป็นการนำเพลงยอดฮิตในอัลบั้มเก่ามารีมิกซ์กลายเป็นเพลงแนว อาคูสติก ทั้งหมด
ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 แก๊กต์ปล่อยอัลบั้มเต็มชุดที่ห้า "Love Letter"[9] ออกมาโดยเพลงในอัลบั้มนี้เป็นเพลงแนวอาคูสติกทั้งหมด นอกจากนี้แก๊กต์ยังได้ปล่อยอัลบั้มพิเศษ "Love Letter - For Korean Dears" โดยการนำเพลง 7 เพลงจากอัลบั้ม Love Letter มาร้องใหม่เป็นภาษาเกาหลีเพื่อแฟนชาวเกาหลีโดยเฉพาะ[12] โดยตัวอัลบั้มวางขายในปีเดียวกัน ปลายปี พ.ศ. 2548 แก๊กต์ได้ออกอัลบั้มเต็มชุดที่หก Diabolos[9] โดยตัวเพลงได้กลับมาเป็นสไตล์ ป็อป/ร็อก อีกครั้ง[ต้องการอ้างอิง]
ใน วันคริสต์มาส พ.ศ. 2548 แก๊กต์ได้มีโอกาสขึ้นโตเกียวโดมเป็นครั้งแรกในคอนเสิร์ตที่ใช้ชื่อว่า Diabolos Tour หลังจากนั้นเขาก็หายหน้าไปในปี พ.ศ. 2549 ก่อนที่จะกลับมาอีกครั้งในปี พ.ศ. 2550 [13]
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 แก๊กต์ปล่อยซิงเกิล"No ni Saku Hana no yō ni" 「野に咲く花のように」[9] ซึ่งตัวเพลงเกี่ยวกับการจบการศึกษาของเหล่านักเรียนมัธยมปลาย ซึ่งเขาได้ไอเดียนี้มาจากนักเรียนมัธยมปลายคนนึงที่เขียนจดหมายมาหาเขา เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาธรรมชาติ และขอร้องให้แก๊กต์ช่วยให้คำแนะนำ และขอให้เขามาในงานจบการศึกษาของเขาอีกด้วย[ต้องการอ้างอิง] แก็กต์จึงไปปรากฏตัวแบบเซอร์ไพรส์ที่นั้นและทำการร้องเพลงนี้เป็นครั้งแรก[14]
แก๊กต์ได้ปล่อยซิงเกิลและอัลบั้มยอดฮิตอีกมากมายเช่น ANOTHER WORLD ในปี พ.ศ. 2544 ,君が追いかけた夢 [Kimi ga oikaketa yume] ในปี พ.ศ. 2546 ,君に逢いたくて [Kimi ni aitakute] ในปี พ.ศ. 2547 และ Metamorphoze~メタモルフォーゼ~ ในปี พ.ศ. 2548 โดยทุกเพลงสามารถขึ้นไปถึงอันดับสองของ Oricon Chart ได้สำเร็จ[10]
วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2550 แก๊กต์ได้วางแผงซิงเกิลใหม่ที่ชื่อว่า"Returner~Yami no Shuuen~" 「Returner~闇の終焉~」[15][9] และสามารถขึ้นอับดับหนึ่งใน Oricon Chart เป็นครั้งแรกได้สำเร็จ [10]
วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2550 แก๊กต์จะวางแผงอัลบั้มใหม่ที่ชื่อว่า "0079-0088" เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อ โทมิโนะ โยชิยูกิ บิดาแห่งการตูนเรื่อง "Kidou Senshi Gundam" โดยอัลบั้มนี้จะบรรจุเพลงทั้งหมด8เพลง ซึ่งเพลงทั้งหมดเป็นเพลงจากการตูนเรื่อง "Kidou Senshi Gundam" โดย5เพลงแรกเป็นเพลงที่แก๊กต์ได้แต่งไว้ให้การตูนที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อปี พ.ศ. 2548 และ 2549 คือ "Kidou Senshi Z Gundam" ทั้งสามภาค และอีกสามเพลงจะเป็นเพลงของกันดั้มภาคต่างๆที่แก๊กต์นำมาร้องใหม่ทั้งหมด ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่แก๊กตืได้นำเพลงของคนอื่นมาร้องใหม่อีกด้วย[16]
S.K.I.N.
[แก้]ในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ในงาน J rock festival แก๊กต์มีโปรเจทต์ยักษ์ที่ชื่อว่า "S.K.I.N." ซึ่งนำทีมโดย โยชิกิ จาก X Japan และ สึกิโซะ จากวง Luna Sea และสมาชิกคนที่ 4 คือ มิยาบิ จากวง Dué le quartz ซึ่งประกาศเข้าวงอย่างเป็นทางการแล้ว โดยทั้ง 4 จะเริ่มการแสดงครั้งแรกที่งาน Anime Expo convention ใน ลอง บีช,แคลิฟอร์เนีย ใน 29 มิถุนายน 2007[17]
ผลงาน
[แก้]อัลบั้ม
[แก้]แก๊กต์เริ่มผลงานโซโล่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ปัจจุบันมีซิงเกิลทั้งหมด 28 ซิงเกิล อัลบั้มทั้งหมด 11 อัลบั้ม โดยเป็นสตูดิโออัลบั้ม 7 อัลบั้ม มินิอัลบั้ม 1 อัลบั้ม อัลบั้มรีมิกซ์ 2 อัลบั้ม และอัลบั้มรวมเพลง 1 อัลบั้ม
ลำดับ | ปก | ชื่ออัลบั้ม | ชนิด | วันที่วางจำหน่าย/เปิดตัว | ค่าย | หมายเหตุ |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | Mizerable์ | มินิอัลบั้ม | 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1999 | Nippon Crown | เป็นมินิอัลบั้ม หลังออกจากวง Malice Mizer บรรจุทั้งหมด 4 เพลง | |
2 | MARS | สตูดิโออัลบั้ม | 26 เมษายน ค.ศ. 2000 | Nippon Crown | เป็นอัลบั้มเปิดตัวอย่างเป็นทางการ | |
3 | Rebirth | สตูดิโออัลบั้ม | 25 เมษายน ค.ศ. 2001 | Nippon Crown | - | |
4 | MOON | สตูดิโออัลบั้ม | 19 มิถุนายน ค.ศ. 2002 | Nippon Crown | - | |
5 | Crescent | สตูดิโออัลบั้ม | 3 กันยายน ค.ศ. 2003 | Nippon Crown | บรรจุเพลง オレンジの太陽" (Orenji no Taiyou) ที่ได้ ไฮด์ จาก L'Arc~en~Ciel มาร่วมร้อง | |
6 | The Sixth Day: Single Collection | อัลบั้มรวมเพลง | 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 | Nippon Crown | เป็นการรวมซิงเกิลยอดฮิตเข้าด้วยกัน และทำการอัดเพลง Mizérable ใหม่ทั้งหมด | |
7 | The Seventh Night: Unplugged | อัลบั้มรีมิกซ์ | 26 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 | Nippon Crown | เป็นการรวมเพลงโปรดของแก็กต์ไว้ทั้งหมด และทำการอาคูสติกเพลงใหม่ทุกเพลง | |
8 | Love Letter | สตูดิโออัลบั้ม | 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2005 | Nippon Crown | - | |
9 | Love Letter - For Korean Dears | อัลบั้มรีมิกซ์ | 16 มิถุนายน ค.ศ. 2005 | Nippon Crown | นำ 7 เพลงจากอัลบั้มหลักมาร้องใหม่เป็นภาษาเกาหลี | |
10 | DIABOLOS | สตูดิโออัลบั้ม | 21 กันยายน ค.ศ. 2005 | Nippon Crown| | ||
11 | 0079-0088 | สตูดิโออัลบั้ม | 19 ธันวาคม ค.ศ. 2007 | Nippon Crown | อัลบั้มที่นำเพลงที่เกี่ยวกับ กันดั้ม มาร้องใหม่ |
การแสดง
[แก้]แก๊กต์มีงานโฆษณาเข้ามาอย่างมากมาย โดยแก๊กต์ได้แสดงหนังครั้งแรกในเรื่อง bel air ซึ่งเป็นผลงานสมัยที่เขายังอยู่วง Malice Mizer และต่อมาเขายังได้แสดงเป็นตัวเองในหนังเรื่อง Hero's hero[18][19] และเขายังได้แสดงหนังเรื่อง Moon Child[20][19] ร่วมกับ ไฮด์ นักร้องนำวง L'Arc~en~Ciel และนักร้องไต้หวันอย่าง หวังลี่หง อีกด้วย
ในปี พ.ศ. 2550 แก๊กต์มีผลงานละครเรื่อง"ฟูริน คะซัง" (Fūrin Kazan) ทางช่อง NHK โดยรับบทเป็น "อุเอสึงิ เคนชิน"[21] และได้รับผลตอบร���บอย่างล้นหลาม ทำให้มีกิจกรรมที่เกี่ยวกับ อุเอสึงิ เคนชิน มากมาย
ในปี พ.ศ. 2552 แก๊กต์จะมีผลงานหนัง ฮอลลีวู้ด เป็นครั้งแรกในเรื่อง "Bunraku" ซึ่งเขาได้รับบทเป็น Yoshi เพื่อนซามูไรของตัวเอกซึ่งแสดงโดย จอช ฮารเน๊ต [22] และล่าสุดมีผลงานซีรีส์ มาสค์ไรเดอร์ดีเคด ในภาคเดอะมูฟวี่ All Rider VS Dai Shocker โดยรับบทเป็น ยูกิ โจจิ นักวิทยาศาสตร์ของ ไดช็อกเกอร์ หรือ ไรเดอร์แมน นั่นเอง พร้อมๆกับซิงเกิลเพลงในเรื่อง Journey Through the Decade และ The Next Decade
โฆษณา
[แก้]หลังจากที่แก๊กต์กลายมาเป็นศิลปินเดี่ยว เค้าได้รับงานโฆษณาต่างๆมากมาย
- Takano Yuri Beauty Clinic ศูยน์บริการความงามที่แก๊กต์เป็นพรีเซนเตอร์ให้ทุกปี
Doomsday (2002) Vanilla (2003) Saikai ~Story~ (2005) Love Letter (2006)
- Neue Men's (Another World)
- e-ma
- Dwango
- FujiFilm (Wasurenai Kara)
- Daihatsu Custome Move (2005) (Black Stone)
- Kirin Fire Beer (To Feel The Fire)
งานเขียน
[แก้]แก๊กต์ได้เขียนนิยายออกมาหนึ่งเล่มคือ Moonchild: Requiem (ซึ่งต่อมาก็ถูกสร้างเป็หนังดังที่กล่าวข้างบน) [23] และหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองที่ชื่อว่า Jihaku[2]
แฟชั่น,ดีไซน์,ออกแบบ
[แก้]แก๊กต์ไปเป็นนายแบบให้สินค้าดังๆมากมาย และยังออกแบบงานให้กับ h-DARTS[24] และเป็นเจ้าของ Tamaly Bar (เป็นบาร์ที่ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้า มีเพียงสมาชิกแฟนคลับและเพื่อนๆ ของแก๊กต์เท่านั้นที่มีสิทธ์เข้า ปัจจุบันได้เลิกกิจการไปแล้ว [25]) ตัวแก๊กต์ทำการออกแบบ กีตาร์ ให้กับ caparison บริษัทกีตาร์ชื่อดังสองตัวชื่อ "Marcury" และ "Venus" อีกด้วย[26][27]
เกม
[แก้]ใบหน้าของแก๊กต์ถูกใช้เป็นใบหน้าพระเอกในเกมเพลย์สเตชัน 2 "บุจินไก" [28][19] โดยเขาเป็นคนให้เสียงและทำโมชั่นแคปเจอร์เองทั้งหมด นอกจากนี้ชื่อของเค้ายังไปปรากฏใน dog tag ในเกม Metal Gear Solid 2: Sons of Liberty อีกด้วย
ยังว่ากันว่าเขาคือต้นแบบของ สควอลล์ เลออนฮาร์ต พระเอกจากเกมยอดฮิต ไฟนอลแฟนตาซี VIII เพราะ เท็ตสึยะ โนมูระ ผู้ออกแบบตัวละครของเกมชุดนี้เองก็เป็นแฟนเพลงของแก๊กต์ และแก๊กต์ก็ได้มีส่วนร่วมกับเกมนี้อย่างเป็นทางการเมื่อเขาไปปรากฏตัวในเกม Dirge of Cerberus: Final Fantasy VII[29][19] ในบท Genesis ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเกม Crisis Core:Final Fantasy VII[30][19] โดยเขายังเป็นคนให้เสียงด้วยตัวเองอีกด้วย
การ์ตูน
[แก้]แก๊กต์ยังมีงานร้องเพลงประกอบการ์ตูนดังๆมากมายอย่าง Shin Hokuto no Ken (หมัดดาวเหนือ) นอกจากนี้เขายังได้ให้เสียงเป็น "เซย์จิ" ตัวละครใหม่ที่ปรากฏในภาคนี้ด้วย [31][19],Texhnolyze[32][19] และหนังการ์ตูนไตรภาคอย่าง โมบิลสูทเซต้ากันดั้ม[19] และ หนังแอนิเมชันเรื่อง "อาร์เธอร์ ทูตจิ๋วเจาะขุมทรัพย์มหัศจรรย์" ให้เสียงในบท Maltazard [33]
สมุดรวมภาพถ่าย
[แก้]สมุดรวมภาพหลังจากที่แยกออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว[34]
ชื่อชุด | วันที่วางจำหน่าย | หมายเหตุ |
---|---|---|
Mizerable ~hisou~ | 8 ก.ค. 42 | ผลงานชิ้นแรก ถ่ายทำที่ต่างประเทศทั้งหมด |
Mizerable ~unmei~ | 8 ก.ย. 42 | ผลงานชิ้นถัดมาที่ออกมาเป็นเล่มต่อของเล่มแรก |
Requiem et Reminiscence ~Chinkon to saisei~ | 28 ก.ย. 44 | รวมภาพจากทัวร์คอนเสิร์ต |
Subarashikikana Jinsei | 8 ธ.ค. 44 | ผลงานรวมภาพจากนิตยสาร Weekly Oricon |
Just bring it! live tour 2002 | 25 ต.ค. 45 | รวมภาพจากทัวร์คอนเสิร์ต |
Hyde & แก๊กต์-Moon Child- | 3 มี.ค. 46 | ผลงานรวมภาพจากภาพยนตร์เรื่อง Moon Child ที่แสดงร่วมกับ ไฮด์ |
Kimi ga oikaketa yume | 28 มี.ค. 46 | ผลงานร่วมกับ Vivian Hsu ที่ร่วมแสดงในวิดีโอโปรโมตเพลงชื่อเดียวกับหนังสือ |
Kagen no Tsuki | 18 ก.ค. 46 | รวมภาพจากทัวร์คอนเสิร์ต |
Jougen no Tsuki | 18 ก.ค. 46 | รวมภาพจากทัวร์คอนเสิร์ต |
Crescent | 28 พ.ย. 46 | ผลงานรวมภาพ |
Subarashikikana Jinsei 2 | 8 ก.ค. 42 | ผลงานรวมภาพจากนิตยสาร Weekly Oricon |
Bujingai Visual Fanbook | มิ.ย. 47 | ผลงานจากเกม บุจินไก |
Gackt File 2004 | 30 ก.ค. 47 | ผลงานรวมภาพที่ลงในนิตยสาร UV (Ultra Veat) ตั้งแต่ปี 42 ถึงปี 47 |
The Gift The Sixth Day & Seventh Night | 20 ต.ค. 47 | รวมภาพจากทัวร์คอนเสิร์ต |
Subarashikikana Jinsei 3 | 22 ก.ย. 48 | ผลงานรวมภาพจากนิตยสาร Weekly Oricon |
Tour 2005 -DIABOLOS- book | 31 มี.ค. 49 | รวมภาพจากทัวร์คอนเสิร์ต |
龍の化身 (Ryu no Keshin) | 30 พ.ย. 50 | ผลงานจากละครเรื่อง ฟูริน คะซัง ในบทบาทของ อุเอสึงิ เคนชิน |
GacktJOB
[แก้]Gackt JOB (อ่านว่า แก๊กต์-จ้อบ) เป็นกลุ่มนักดนตรีที่เล่นซัพพอร์ตให้แก๊กต์ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2542 มีหัวหน้าวงคือชาช่ามารุ [35]และมีการเปลี่ยนสมาชิกเข้าออกมากมาย
- สมาชิกปัจจุบัน
- ชาช่ามารุ (หัวหน้าวง,ร้องสมทบ,กีตาร์)
- ยู (ไวโอลิน,กีตาร์)
- จู-เคน (เบส)
- จุนจิ (กลอง)
- อิกาโอะ (คีย์บอร์ด)
- โยช (ออกแบบท่าเต้น)
- เนล (เบส)
- มินามิ (กลอง)
- อดีตสมาชิก
- เรน (เบส) ปัจจุบันกลับไปที่วงอินดี้ LinClover[36]
- มาสะ (กีตาร์) ปัจจุบันตั้งวง Marmarsa-mu (マァマァサ・ムゥ) [37]
- ริว (กลอง)
- โทชิ (กลอง) ปัจจุบันอยู่วง Spiky
แฟนคลับ
[แก้]- Kissmark
- อดีตแฟนคลับอย่างเป็นทางการของแก๊กต์ที่ปิดตัวไปเนื่องจากปัญหาภายในหลังจากเปิดได้ไม่นานนัก
- Dears
- อดีตแฟนคลับอย่างเป็นทางการของแก๊กต์[38]
- G&LOVERS
- แฟนคลับอย่างเป็นทางการของแก๊กต์ในปัจจุบัน ประกาศเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ภายใต้สังกัดใหม่ G-PRO
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Tour 2004: The Sixth Day and Seventh Night - Final imdb.com)
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 Jihaku, Kobunsha Co., Ltd., ISBN 4-334-97412-0
- ↑ Belle Constantine Chappy, Rest in Peace, น้องเบลเสียชีวิตแล้ว เก็บถาวร 2008-06-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน skin-band.net (ไทย)
- ↑ ประวัติของวง Cains:Feel last.fm (อังกฤษ)
- ↑ 5.0 5.1 5.2 Malice Mizerwikipedia.org (อังกฤษ)
- ↑ การแต่งกายสไตล์ "โกธิก" (Gothic fashion) เป็นการแต่งกายซึ่งเน้น"สีดำ" เป็นหลัก เช่นการทำผมดำ, ทาขอบตา/ปากดำ,และแต่งตัวด้วยชุดดำทั้งชุด โดยการแต่งกายนี้มีให้เห็นมากทางฝั่งยุโรป และในวงดนตรีร็อก (ดูเพิ่มที่ Gothic_fashionจากวิกิพีเดียภาษาอังกฤษ (http://en.wikipedia.org/) (อังกฤษ))
- ↑ columbia.jp/ เว็บไซต์ของ Nippon Columbia (ญี่ปุ่น)
- ↑ 8.0 8.1 หัวข้อ Solo career จากเว็บไซต์ ประวัตโดยย่อของGackt asiafinest.com (อังกฤษ)
- ↑ 9.00 9.01 9.02 9.03 9.04 9.05 9.06 9.07 9.08 9.09 9.10 9.11 แก๊กต์~Dears~ เก็บถาวร 2007-07-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน หน้า discography dears.ne.jp (ญี่ปุ่น)
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 แก๊กต์กับความสำเร็จบทโอริก้อน จาก www.oricon.co.jp (ญี่ปุ่น)
- ↑ คำว่า U+K มาจาก อุเคียว คามิมูระ (Ukyou Kamimura) ซึ่งเป็นชื่อจริงของคามิ ดูเพิ่มเติมที่หน้า U + K เก็บถาวร 2007-07-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน หัวข้อ Note บรรทัดที่2 (อังกฤษ)
- ↑ Love Letter - For Korean Dears-Korean Music CD Store on the Webจาก annyoung.com (เกาหลี)
- ↑ หน้า แก๊กต์Live Tour 2005: Diabolos - Aien no Shi to Seiya no Namida จากเว็บไซต์ imdb.com (อังกฤษ)
- ↑ ดูเพิ่ม บทความ "No ni Saku Hana no Youni" วิกิพีเดีย ภาษาอังกฤษ (http://en.wikipedia.org) (อังกฤษ)
- ↑ ข้อมูลวันวางจำหน่ายซิงเกิลReturner~Yami no Shuuen~ เก็บถาวร 2006-12-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (ญี่ปุ่น)
- ↑ แก๊กต์วางแผนอัลบั้ม "Gundam album" เดือนธันวานี้ เก็บถาวร 2007-11-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน จาก www.japankiku.com (ไทย)
- ↑ Anime Expo® 2007 Announces (อังกฤษ)
- ↑ หน้า Hero's Hero จากเว็บไซต์ imdb.com (อังกฤษ)
- ↑ 19.0 19.1 19.2 19.3 19.4 19.5 19.6 19.7 หน้า Gackt Camui จากเว็บไซต์ imdb.com (อังกฤษ)
- ↑ หน้า Moon Child imdb.com (อังกฤษ)
- ↑ เว็บไซต์ของละครเรื่อง Fūrin Kazan เก็บถาวร 2015-11-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (ญี่ปุ่น)
- ↑ Gackt ร่วมแสดงภาพยนตร์ Hollywood ครั้งแรก เก็บถาวร 2008-04-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (ไทย)
- ↑ บทสัมพาทย์ Moonchild: Requiem โดยแก๊กต์ livejournal.com (อังกฤษ)
- ↑ เว็บไซต์ของh-darts (ญี่ปุ่น)
- ↑ Tamaly Bar ปิดแล้ว เก็บถาวร 2008-06-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีนskin-band.net (ไทย)
- ↑ Caparison Marcury เก็บถาวร 2008-04-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน kyowashokai.co.jp (ญี่ปุ่น)
- ↑ Caparison Venus เก็บถาวร 2007-12-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน kyowashokai.co.jp (ญี่ปุ่น)
- ↑ เว็บไซต์ของเกมบูจินไค www.bujingai.com (ญี่ปุ่น)
- ↑ ข้อมูลของเกม Dirge of Cerberus: Final Fantasy จากเว็บไซต์ imdb.com (อังกฤษ)
- ↑ หน้า Crisis Core: Final Fantasy VII จากเว็บไซต์ imdb.com (อังกฤษ)
- ↑ ข้อมูลของ Shin Hokuto no Ken www.imdb.com (อังกฤษ)
- ↑ เว็บไซต์ของการตูนเรื่อง Texhnolyze เก็บถาวร 2019-01-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน www.texhnolyzedvd.com (ญี่ปุ่น)
- ↑ Gackt, be a voice actor for the movie, "Arthur and the Minimoys" เก็บถาวร 2007-09-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน skin-band.net (ไทย)
- ↑ ข้อมูลสมุดรวมภาพ เก็บถาวร 2007-05-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน gackt-camui.net (อังกฤษ)
- ↑ ประวัติของชาช่ามารุ last.fm (อังกฤษ)
- ↑ เว็บไซต์ของวง LinClover เก็บถาวร 2007-06-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (ญี่ปุ่น)
- ↑ เว็บไซต์ของวง Marmarsa-mu เก็บถาวร 2006-09-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (ญี่ปุ่น)
- ↑ What's Dears? gackt.com (ญี่ปุ่น)
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
- รูปภาพเกี่ยวกับแก๊กต์ ที่ฟลิคเกอร์
- Gackt.com (ญี่ปุ่น),(อังกฤษ),(เกาหลี), (จีน)
- Nippon Crown: Gackt เก็บถาวร 2006-12-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (ญี่ปุ่น)
- Gackt OFFICIAL COMMUNITY SITE (ญี่ปุ่น)
- myspace.com/gackt (อังกฤษ)
- เว็บ เรดิโอ
- Okinawa Web Radio เก็บถาวร 2008-09-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (ญี่ปุ่น)
- อื่นๆ
- วิกิเดอะพีพีเอ็น เก็บถาวร 2008-04-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ข้อมูลของแก๊กต์ (อังกฤษ)