เฝิง โหย่วหลาน
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
บทความนี้ต้องการการจัดหน้า จัดหมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือเก็บกวาดเนื้อหา ให้มีคุณภาพดีขึ้น คุณสามารถปรับปรุงแก้ไขบทความนี้ได้ และนำป้ายออก พิจารณาใช้ป้ายข้อความอื่นเพื่อชี้ชัดข้อบกพร่อง |
เฝิง โหย่วหลาน | |||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เกิด | 4 ธันวาคม ค.ศ. 1895 ตำบลถังเหอ, มณฑลเหอหนาน, จักรวรรดิชิง | ||||||||||
เสียชีวิต | 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1990 ปักกิ่ง, สาธารณรัฐประชาชนจีน | (94 ปี)||||||||||
ศิษย์เก่า | มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย | ||||||||||
อาชีพ | นักปรัชญา | ||||||||||
บุตร | จงผู | ||||||||||
ชื่อภาษาจีน | |||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 馮友蘭 | ||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 冯友兰 | ||||||||||
|
เฝิง โหย่วหลาน (ภาษาจีน : 冯友兰 – 4 ธันวาคม ค.ศ.1895 – 26 พฤศจิกายน ค.ศ.1990) มีอีกชื่อหนึ่งว่า “จือเชิง” (芝生) เป็นนักปรัชญาจีนและนักประวัติศาสตร์ปรัชญาจีน เขาได้รับการขนามนามว่าเป็น “นักปรัชญาขงจื่อสมัยใหม่”
ครอบครัว
[แก้]เฝิง โหย่วหลานเกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ.1895 (ตรงกับสมัยราชวงศ์ชิง รัชสมัยฮ่องเต้กวางซวี่ ปีที่ 21) ที่หมู่บ้านฉีอี๋ ตำบลถังเหอ เมืองหนานหยาง มณฑลเหอหนาน ตระกูลเฝิงเป็นตระกูลท้องถิ่นที่รวมตัวกันเป็นหมู่บ้าน มีพื้นที่กว่าหนึ่งพันหมู่ (亩) ปู่ของเขาชื่อว่า “เฝิงอวี้เหวิน” (冯玉文) มีอีกชื่อหนึ่งว่า “เชิ่งเจิง” (圣征) พ่อของเขาชื่อว่า “เฝิงไถอี้” (冯台异) มีอีกชื่อหนึ่งว่า “ชู่โห้ว” (树候) แม่ของเขาชื่อว่า “อู๋ชิงจือ” (吴清芝) แม่เขาเคยทำงานเป็นหัวหน้าคณะกรรมการการศึกษาของสตรีที่ตำบลถังเหอ [1]。
การศึกษา
[แก้]เฝิง โหย่วหลานเริ่มเรียนหนังสือที่บ้านฟาเหมิงตอนอายุ 6 ขวบ ในปี ค.ศ.1904 เฝิงไถอี้ทำงานเป็นพนักงานธุรการและบัญชีที่โรงเรียนท้องถิ่นอู่ชาง เขาจึงย้ายบ้านตามพ่อไปที่ตำบลอู่ชาง ปี ค.ศ.1907 เฝิงไถอี้ย้ายไปทำงานที่ตำบลฉงหยาง มณฑลหูเป่ย์ ครอบครัวจึงย้ายตามท่านไปที่นั่น ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ.1908 พ่อของเขาได้ล้มป่วยแล้วเสียชีวิตที่ตำบลฉงหยางในขณะที่เขาอายุเพียง 13 ปี เฝิง โหย่วหลานจึงกลับไปศึกษาที่บ้านเก่าในตำบลถังเหอเช่นเดิม
ปี ค.ศ.1910 ได้เข้าศึกษาระยะสั้นที่โรงเรียนประถมประจำตำบลถังเหอเป็นเวลา 1 ปี ต่อมาปี ค.ศ.1911 ได้ศึกษาต่อที่โรงเรี��นรัฐบาลแห่งหนึ่งในระดับชั้นมัธยมในตำบลจงโจว เมืองไคเฟิง ค.ศ.1912 ได้ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนจีนอู่ชาง ช่วงฤดูหนาวในปีเดียวกันได้เข้าศึกษาระยะสั้นที่มหาวิทยาลัยรัฐแห่งเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ต่อมาปี ค.ศ.1915 สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่ง คณะนิติศาสตร์ได้ ในระหว่างที่เข้าศึกษานั้นเขาตัดสินใจเปลี่ยนไปเรียนคณะอักษรศาสตร์ ภาควิชาปรัชญาจีน และสำเร็จการศึกษาในปี ค.ศ.1918 หลังจากนั้นได้สอนหนังสือที่วิทยาลัยเทคนิคไคเฟิง ต่อมาปี ค.ศ.1919 เขากับเพื่อนได้ร่วมกันตีพิมพ์นิตยสารรายเดือน “เสียงของหัวใจ”《心声》 ในช่วงฤดูหนาวปีเดียวกันเขาสอบชิงทุนรัฐบาลแล้วมีสิทธิ์เรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ.1920 เขาได้เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโททางด้านปรัชญาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นครนิวยอร์ก เขาได้เรียนกับจอห์น ดิวอี้ ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ.1923 เขาผ่านการสอบวิทยานิพนธ์ ปีต่อมาวิทยานิพนธ์ของเขาได้รับการตีพิมพ์และได้รับใบปริญญาระดับมหาบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สาขาปรัชญา
ในช่วงปี 1923 – 1949
[แก้]ปี 1923 เขาได้กลับประเทศจีนแล้วเริ่มต้นสอนหนังสือในตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านปรัชญา ควบตำแหน่งคณบดีคณะอักษรศาสตร์และหัวหน้าภาควิชาปรัชญาแห่งมหาวิทยาลัยจงโจว (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเหอหนาน) ในฤดูใบไม้ร่วงของปี 1925 ได้รับหน้าที่เป็นศาสตราจารย์และหัวหน้าภาควิชาปรัชญาแห่งมหาวิทยาลัยซุนยัดเซ็นเมืองกว่างโจว ปลายปีเขาได้ย้ายไปสอนหนังสือที่ภาคเหนือของประเทศจีน ปี ค.ศ.1926 เป็นศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเยียนจิง ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี ค.ศ.1928 ได้รับหน้าที่เป็นศาสตราจารย์สอนปรัชญาและหัวหน้าภาควิชาปรัชญาแห่งมหาวิทยาลัยชิงหัว และปีถัดไปได้รับตำแหน่งเป็นคณบดีคณะอักษรศาสตร์ควบไปด้วย
หนังสือ “ประวัติศาสตร์ปรัชญาจีน” 《中国哲学史》ของเฝิง โหย่วหลานมีสองเล่ม เล่มแรกได้ตีพิมพ์เมื่อปี 1931 ส่วนเล่มสองตีพิมพ์เมื่อปี 1934 ปรัชญาสำนักขงจื่อได้รับการยกย่องทางด้านการปกครองในประวัติศาสตร์ปรัชญาจีน
ปี ค.ศ.1934 เฝิง โหย่วหลานได้รับเชิญให้ไปเยือนที่ประเทศสาธารณรัฐเช็กและสหภาพโซเวียต หลังจากที่กลับจากโซเวียตได้กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับความรู้เกี่ยวสหภาพโซเวียตและวัตถุนิยมเชิงประวัติศาสตร์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฝ่ายพรรคก๊กมินตั๋งไม่พอใจและได้จับกุมตัวเขามาดำเนินคดี แต่สุดท้ายก็ได้รับการปล่อยตัว จากนั้นเขาก็เข้าหาฝ่ายก๊กมินตั๋งและเข้าร่วมพรรคก๊กมินตั๋งในที่สุด และปี ค.ศ.1935 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนของสภาพรรคก๊กมินตั๋งในการประชุมครั้งที่ 5 ที่ประเทศจีน
ในปี ค.ศ.1937 สงครามจีน – ญี่ปุ่นได้ปะทุขึ้น เฝิง โหย่วหลานได้ย้ายตามมหาวิทยาลัยชิงหัวไปยังเมืองฉางชา และย้ายไปที่เมืองคุนหมิงในภายหลัง และได้รับหน้าที่เป็นศาสตราจารย์ด้านปรัชญาและคณบดีคณะอักษรศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยรวมซีหนาน ต่อมาได้เกิดความแตกแยกกันของสมาชิกพรรคก๊กมินตั๋ง เฝิง โหย่วหลานจึงเข้าร่วมพรรคก๊กมินตั๋งอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ.1939 ในระหว่างที่ได้พำนักที่เมืองคุนหมิง เขาได้ตีพิมพ์หนังสือ “ซินหลี่เสว”《新理学》ในปี 1939, “ซินชื่อลุ่น”《新事论》ในปี 1940, “ซินชื่อซวิ่น”《新事训》ในปี 1940, “ซินหยวนเหริน”《新原人》ในปี 1943, “ซินหยวนเต้า”《新厡道》ในปี 1944, “ซินจือเหยียน”《新知言》ในปี 1946 รวมทั้งหมด 6 เล่ม เรียกหนังสือทั้งหมดนี้ว่า “หนังสือชุดเจินหยวน 6 เล่ม” (贞元六书) เขาได้ยกย่องลัทธิขงจื่อดั้งเดิมต่อไป และได้รวบรวมแนวคิดของลัทธิขงจื่อ แล้วได้เข้าร่วมขบวนการการเคลื่อนไหวชีวิตใหม่กับพรรคก๊กมินตั๋ง ในช่วงเวลาที่สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยรวมซีหนาน เฝิง โหย่วหลานมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับขุนพลระดับสูงของพรรคก๊กมินตั๋ง ปี ค.ศ.1942 เขาไปสอนหนังสือให้สมาชิกพรรคก๊กมินตั๋งที่ฉงชิ่ง ปี 1943 เขามีชื่อเสียงโด่งดังจากมหาวิทยาลัยซีหนาน เขาได้ส่งจดหมาย “ครองใจประชาชน” ไปให้เจียงไคเช็กอ่าน เจียงอ่านว่า “เคลื่อนไหวเพื่อประชาชน หลั่งน้ำตาเพื่อประชาชน (为之动容,为之泪下)” ปี ค.ศ. 1945 เฝิง โหย่วหลานได้รับเลือกให้เป็นประธานการประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติของพรรคก๊กมินตั๋ง ครั้งที่ 6 [2]
ในปี ค.ศ.1946 จีนประกาศชัยชนะสงครามต่อต้านญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยรวมซีหนานได้แยกตัวออกมา แล้วมหาวิทยาลัยชิงหัวได้กลับไปตั้งอยู่ที่นครเป่ย์ผิง(ปักกิ่งในปัจจุบัน) เฝิง โหย่วหลานได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ไปเป็นศาสตราจารย์พิเศษเป็นระยะเวลา 1 ปี เขาได้ตีพิมพ์หนังสือ “ประวัติศาสตร์ปรัชญาจีนฉบับสังเขป” ซึ่งได้มาจากการรวบรวมการบรรยายในแต่ละครั้ง ปี ค.ศ.1948 เขาเดินทางกลับประเทศจีนแล้วไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยชิงหัวโดยทำหน้าที่เป็นศาสตราจารย์ด้านปรัชญา คณบดีคณะอักษรศาสตร์และหัวหน้าภาควิชาปรัชญาเช่นเดิม ต่อมาได้รับเลือกให้เป็นนักวิชาการประจำสถาบันวิจัยแห่งชาติเป็นคนแรก (ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์)[3] และเป็นนักวิจารณ์ในการประชุมพิจารณ์ที่สถาบันวิจัยแห่งชาติ ครั้งที่ 3 [4]
ในช่วงปี 1949 – 1976
[แก้]วันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ.1949 ได้สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน และวันที่ 5 ตุลาคม เฝิง โหย่วหลานได้เขียนจดหมายเรียกร้องถึงเหมาเจ๋อตงว่า “สมัยก่อนการเรียนปรัชญาเพื่อส่งเสริมระบบศักดินาจะเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่พรรคก๊กมินตั๋ง ตอนนี้ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนความคิดแล้วว่าเรียนลัทธิมาร์กซิสต์ดีกว่า”[5] เหมาเจ๋อตงตอบจดหมายกลับมาว่า “ในอดีตเคยทำผิดพลาดมาก่อน” แล้วเตือนว่า “จงใช้ความซื่อสัตย์อย่างเหมาะสม” เฝิง โหย่วหลานตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งคณบดีคณะอักษรศาสตร์และหัวหน้าภาควิชาปรัชญาแห่งมหาวิทยาลัยชิงหัว และภายในปี 1950 เขาถูกส่งตัวไปเข้าร่วมขบวนการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงสังคมที่เขตชนบท ปี 1952 เขาถูกย้ายไปทำงานที่ภาควิชาปรัชญาแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง หลังจากที่สร้างชาติเฝิง โหย่วหลานก็ได้ทบทวนปัญหาทางประวัติศาสตร์ด้วยตนเองอยู่หลายครั้ง โดยประกาศต่อสาธารณชนทั้งในและนอกประเทศว่า “ลัทธิขงจื่อใหม่เป็นศัตรูของลัทธิมาร์กซ์ – เลนิน และลัทธิเหมา...[6] เป็นศัตรูของประชาชน...[7] เป็นการสนับสนุนสังคมกึ่งศักดินากึ่งอาณานิคมของจีนในยุคนั้นและเป็นการสยบต่ออำนาจของรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋ง...[8] ผลงานที่ผ่านมาของข้าพเจ้าล้วนไม่มีคุณค่าใดๆ ทั้งนั้น...[9] ข้าพเจ้าได้สำนึกผิดต่อตำราที่ได้เขียนขึ้นทั้งหมดในช่วงยุค 1940’s ” เขาได้แสดงท่าทีร่วมมือกับรัฐบาลคอมมิวนิสต์ เขาได้หาคำพูดของลัทธิมาร์กซิสต์มาใช้ในการแสดงความคิดเห็น และได้เขียนหนังสือ “ประวัติศาสตร์ปรัชญาจีน ฉบับใหม่” ออกมา 2 เล่ม ปี 1955 เขาได้เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองและร่วมอภิปรายกับหูชื่อและเหลียงชู่หมิง ปี 1962 มีการจัดประชุมขึ้นเป็นครั้งที่ 2 โดยสภากรรมการที่ปรึกษาแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมเฝิง โหย่วหลานได้เขียนบทกลอนให้แก่ท่านประธานเหมาว่า “คฤหาสน์หวยเหรินกำเนิดบุหงาบานสะพรั่ง สายลมแห่งวสันตฤดูส่งกลิ่นหวนหอม (怀仁堂后百花香,浩荡春风感众芳)”[10]
เมื่อเริ่มปฏิวัติวัฒนธรรมในปี 1966 ผลงานเฝิง โหย่วหลานถูกคัดลอกไว้ในนิตยสาร “คอกวัว” (牛棚) จนกระทั่งปี 1968 จึงยกเลิกการคัดลอก ปี 1973 ได้เกิดขบวนการวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดขงจื่อและหลินเปียวอย่างรุนแรง เฝิง โหย่วหลานได้รับหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาของทีมงานที่เขียนผลงาน “เหลียงเซี่ยว” (粱效) เพื่อให้แก๊งสี่สหายเข้าใจว่า “จงออกมาจากกรอบความคิดโบราณแล้วทำลายลัทธิขงจื่อซะ” แล้วตีพิมพ์บทความ “วิจารณ์ความคิดลัทธิขงจื่อที่ข้าพเจ้าเคยสนับสนุน” และ “การต่อสู้ระหว่างแนวคิดโบราณกับแนวคิดสมัยใหม่” ในหนังสือพิมพ์รายวันกวางหมิง《光明日报》 ต่อมาก็ได้ผลิตผลงาน “บทวิจารณ์ขงจื่อ” เพื่อสนับสนุนแก๊งสี่สหายของเจียงชิง ในหนังสือเหล่านี้ เฝิง โหย่วหลานได้กล่าวว่า “ลัทธิขงจื่อในช่วงก่อนปี 1949 เสริมสร้างให้คนมีอำนาจและมีฐานะร่ำรวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรคก๊กมินตั๋ง... หลังจากปี 1949 ลัทธิขงจื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อต้านการปฏิวัติของหลินเส้าฉีและหลินเปียว”[11] ผู้ที่สามารถเข้าร่วมขบวนการวิจารณ์ขงจื่อนับว่าเป็นความสุขที่แท้จริง [12] มีนักปรัชญาขงจื่อรุ่นหนึ่งกล่าวว่า “ถึงเวลาที่ต้องส่งเสียงวิจารณ์ขงจื่อ”[13] เฝิง โหย่วหลานได้ทำงานใกล้ชิดกับเจียงชิง จนกระทั่งปี 1976 แก๊งสี่สหายของเจียงชิงสูญเสียอำนาจ ทีมงานที่ผลิตผลงาน “เหลียงเซี่ยว” ถูกเซ้ง ส่วนเฝิง โหย่วหลานก็ถูกดำเนินคดีแล้วติดคุกเป็นเวลานาน
ช่วงบั้นปลายชีวิต
[แก้]ตั้งแต่ปี 1980 มีคำสั่งจากทางการให้เฝิง โหย่วหลานเขียนหนังสือ “ประวัติศาสตร์ปรัชญาจีน ฉบับใหม่” ขึ้นมาอีกครั้ง โดยให้ลูกศิษย์เขียนตามคำพุดของเขา เงื่อนไขคือ “ให้เขียนประวัติศาสตร์ปรัชญาจีนโดยมีลัทธิมาร์กซิสต์ที่มีอิทธิพลในตอนนี้อยู่รวมไปด้วย รวมไปถึงความเข้าใจและประสบการณ์ทางวัฒนธรรม”[14] จนกระทั่งเขียนเสร็จสมบูรณ์ในปี 1989 ลัทธิมาร์กซิสต์และแนวคิดการต่อสู้ทางชนชั้นก็ได้รวมอยู่ในหนังสือทั้งเล่ม
วันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ.1990 เฝิง โหย่วหลานล้มป่วยและเสียชีวิตที่โรงพยาบาลมิตรภาพปักกิ่ง ด้วยอายุ 95 ปี
เกร็ดความรู้
[แก้]เฝิง โหย่วหลานกับหูชื่อมีมุมมองทางวิชาการและจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกันมาก หูชื่อเคยพูดต่อหน้าเฉียนมู่ (钱穆) ว่า “ใต้หล้ามีแต่คนโง่เขลาเท่านั้นที่ไม่เลือกเส้นทางที่ถูกต้อง”[15] เหอปิ่งตี้ได้จดจำผลงาน “อิทธิพลของแนวคิดหูชื่อที่มีต่อวัฒนธรรมจีนในช่วงก่อนปี 1927” ซึ่งเป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาโทจากวิทยาลัยสมิทซ์ของเฝิง โหย่วหลาน ผลงานนี้ได้กล่าวถึงสวี่ย่าเฟินภรรยาของหยางเส้าเจิ้นด้วย เฝิง โหย่วหลานได้ยินเข้าก็กล่าวว่า “ผล... ผล... ผลงานชิ้นนี้ยอด... ยอด... ยอดเยี่ยมไปเลย เพราะหลังปี 1927 เขาก็ไม่... ไม่... ไม่มีอิทธิพลแล้วล่ะ”[16]
ผลงานชิ้นสำคัญ
[แก้]เฝิง โหย่วหลานได้ผลิตผลงานรวมกันหลายชิ้นเรียกว่า “หนังสือประวัติศาสตร์ 3 ชุด หนังสือชุดเจินหยวน 6 เล่ม” อันเป็นการรวบรวมผลงานที่น่าภาคภูมิใจ หนังสือประวัติศาสตร์ปรัชญาจีนมีทั้งหมด 3 ชุด ได้แก่ “ประวัติศาสตร์ปรัชญาจีน” “ประวัติศาสตร์ปรัชญาจีน ฉบับสังเขป” “ประวัติศาสตร์ปรัชญาจีน ฉบับใหม่” หนังสือชุดเจินหยวนเป็นหนังสือปรัชญาที่รวบรวมขึ้นมาเป็นชุด มีทั้งหมด 6 เล่ม อันได้แก่ “ซินหลี่เสว”, “ซินชื่อซวิ่น”, “ซินชื่อลุ่น”, “ซินหยวนเหริน”, “ซินหยวนเต้า” และ “ซินจือเหยียน”
《中国哲学史上下册》หนังสือประวัติศาสตร์ปรัชญาจีน มีสองเล่ม เล่มแรกตีพิมพ์เมื่อปี 1931 เล่มสองตีพิมพ์เมื่อปี 1934 หนังสือชุดนี้เป็นผลงานประวัติศาสตร์ปรัชญาจีนชุดแรกที่เขียนผ่านมุมมองของปรัชญาตะวันตก มีหลายแนวคิดที่ได้ข้อสรุปออกมาอย่างชัดเจนซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักวิชาการรุ่นหลัง เรียกได้ว่าเป็น “ผลงานที่เป็นรากฐานสำคัญของประวัติศาสตร์ปรัชญาจีน”
《中国哲学简史》 หนังสือประวัติศาสตร์ปรัชญาจีน ฉบับสังเขป รวบรวมจากตำราเรียนที่เขาจัดทำขึ้นตอนที่เป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ผลงานชิ้นนี้ได้รับการแปลจาก 10 กว่าประเทศทั่วโลก และขายได้หลายล้านเล่ม เป็นตำราเรียนสำคัญที่ต้องใช้ในรายวิชาประวัติปรัชญาจีนของมหาวิทยาลัยหลายแห่งในประเทศแถบตะวันตก และเป็นการบุกเบิกวงการปรัชญาจีนให้ตื่นตัวในโลกตะวันตกและทำให้ชาวตะวันตกเข้าใจแนวคิดของคนจีนอีกด้วย
《中国哲学史新编七册》หนังสือชุดประวัติศาสตร์ปรัชญาจีน ฉบับใหม่ มีทั้งหมด 7 เล่ม เป็นผลงานปรัชญาชิ้นสำคัญที่เฝิง โหย่วหลานให้ลูกศิษย์เขียนขึ้นตามคำพูดของเขา เนื่องจากช่วงนั้นเขากลายเป็นคนหูหนวกตาบอด เขาจึงให้ลูกศิษย์เขียนผลงานชุดนี้ตั้งแต่ตอนที่เขาอายุ 84 – 95 ปี รวมเป็น 11 ปี และเขียนเสร็จเมื่อปี 1990 เขาต้องเข้านอนโรงพยาบาลทุกปี แล้วลูกศิษย์ของเขาก็ได้จดบันทึกหนังสือประวัติศาสตร์ปรัชญาจีนเอาไว้ตามคำพูดของเขา
《贞元六书》หนังสือชุดเจินหยวนเป็นชุดหนังสือปรัชญาที่มีทั้งหมด 6 เล่ม แบ่งออกเป็น “ซินหลี่เสว”, “ซินชื่อซวิ่น”. “ซินชื่อลุ่น”, “ซินหยวนเหริน”, “ซินหยวนเต้า” และ “ซินจือเหยียน” 5 เล่มหลัง ได้แบ่งออกเป็นบทต่างๆ ส่วนมากกล่าวถึงปรัชญาบริสุทธิ์ 《新世训》“ซินชื่อซวิ่น” เป็นผลงานที่วิเคราะห์ปัญหาทางสังคมผ่านมุมมองของลัทธิขงจื่อใหม่ 《新事论》“ซินชื่อลุ่น” เป็นผลงานที่กล่าวถึงหลักการใช้ชีวิตและการปลูกฝังคุณธรรม 《新原人》 เป็นปรัชญาชีวิตที่ได้กล่าวว่าชีวิตคนแบ่งออกเป็น 4 ช่วงอายุ 《新原道》“ซินหยวนเต้า” เป็นการวิเคราะห์พัฒนาการของปรัชญาจีนโดยผ่านมุมมองของประวัติศาสตร์ปรัชญา 《新知言》“ซินจือเหยียน” เป็นประวัติศาสตร์ปรัชญาตะวันตกฉบับย่อที่สรุปออกมาโดยใช้ระเบียบวิธีการวิทยาทางปรัชญา
《三松堂全集》 เป็นผลงานชีวประวัติของเฝิง โหย่วหลาน มีทั้งหมด 15 เล่ม
ในช่วงที่รัฐบาลไต้หวันประกาศกฎอัยการศึก (วันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ.1949 – 14 กรกฎาคม ค.ศ.1987) ผลงานของเฝิง โหย่วหลานเคยเป็นหนังสือต้องห้ามในไต้หวัน
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 陈来 (2008). "冯友兰先生小传". 燕园问学记. 北京大学出版社. p. 20. ISBN 978-7-301-13291-3.
- ↑ "45年国民党"最优秀教授党员":华罗庚陈寅恪冯友兰". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-04-25. สืบค้นเมื่อ 2019-09-15.
- ↑ 中央研究院逝世院士一覽表(2009年9月8日查詢)
- ↑ 中央研究院歷屆評議員一覽表(2009年9月8日查詢)
- ↑ 5.0 5.1 5.2 《毛澤東書信選集》,北京:人民出版社,1983年,第344页
- ↑ 蔡仲德,《馮友蘭先生年譜初編》,鄭州:河南人民出版社,1994年,第374页
- ↑ 馮友蘭,《三松堂全集》十四卷,郑州:河南人民出版社,1994年,第143页
- ↑ 蔡仲德,《馮友蘭先生年譜初編》,鄭州:河南人民出版社,1994年,第443页
- ↑ 蔡仲德,《馮友蘭先生年譜初編》,鄭州:河南人民出版社,1994年,第371页
- ↑ 馮友蘭,《我與毛澤東的交往》,《文匯報》(香港),2005年05月22日
- ↑ 11.0 11.1 馮友蘭,《論孔丘》,北京:人民出版社,1975年,第5页
- ↑ 馮友蘭,《論孔丘》,北京:人民出版社,1975年,第2页
- ↑ 汪東林,《梁漱溟問答錄》,武漢:湖北人民出版社
- ↑ 馮友蘭,《中国哲学史新编》第一卷,北京:人民出版社,1986年,自序部分
- ↑ 钱穆:《师友杂忆》
- ↑ 何炳棣:《讀史閱世六十年》