คลาวด์ แอตลาส: หยุดโลกข้ามเวลา
หน้าตา
คลาวด์ แอตลาส: หยุดโลกข้ามเวลา | |
---|---|
กำกับ | |
บทภาพยนตร์ |
|
สร้างจาก | เมฆาสัญจร โดย David Mitchell |
อำนวยการสร้าง |
|
นักแสดงนำ | |
กำกับภาพ | |
ตัดต่อ | Alexander Berner |
ดนตรีประกอบ |
|
บริษัทผู้สร้าง | Cloud Atlas Production X-Filme Creative Pool Anarchos Production |
ผู้จัดจำหน่าย | วอร์เนอร์บราเธอร์ส |
วันฉาย |
|
ความยาว | 172 นาที[1][2] |
ประเทศ | เยอรมนี[3][4][5] |
ภาษา |
|
ทุนสร้าง | $128 ล้าน[6] |
ทำเงิน | $130,482,868[7] |
ข้อมูลจากสยามโซน |
คลาวด์ แอตลาส หยุดโลกข้ามเวลา (อังกฤษ: Cloud Atlas) เป็นภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ดราม่าสัญชาติเยอรมัน เขียนบทและกำกับโดย Lana และ Andy Wachowski และ Tom Tykwer ดัดแปลงจากหนังสือนิยาย เมฆาสัญจร (Cloud Atlas) ของเดวิด มิตเชลล์ ทุนสร้าง 102 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นภาพยนตร์อิสระที่ใช้ทุนสร้างสูงสุดเรื่องหนึ่ง
เนื้อเรื่อง
[แก้]ภาพยนตร์เรื่องนี้ประกอบด้วยเรื่องราว 6 เรื่องซึ่งสอดประสานกันไปมาตลอดความยาวเรื่อง ย้อนไปตั้งแต่การเดินเรือในมหาสมุทรช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ไปจนถึงอนาคตยุคหลังอารยธรรมล่มสลาย โครงสร้างของการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ต่างจากฉบับนิยายโดยภาพยนตร์เลือกใช้วิธีตัดสลับไปมาระหว่างเรื่องราวทั้ง 6 เรื่อง เรื่องราวทั้งหกนั้นได้แก่
- มหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ค.ศ. 1849 ช่วงเวลาของการตื่นทองที่แคลิฟอร์เนีย อดัม อีวิง นักกฎหมายชาวอเมริกันจากซานฟรานซิสโกได้เดินทางมายังหมู่เกาะแชทัมเพื่อทำข้อตกลงทางธุรกิจกับ Reverend Gilles Horrox แทนพ่อตาของเขาคือ Haskell Moore ระหว่างนั้นได้เห็นการโบยทาสชาวโมริโอริชื่อเอาทัว ซึ่งต่อมาเขาได้แอบขึ้นบนเรือลำเดียวกับอีวิง และขอร้องให้อีวิงช่วยให้เขาได้หลบซ่อนตัว ก่อนที่จะขอให้ได้เป็นลูกเรือคนหนึ่งในฐานะเสรีชน ระหว่างดอกเตอร์เฮนรี่ กูส ที่เดินทางไปด้วยกัน กำลังค่อย ๆ วางยาพิษให้อีวิง โดยอ้างว่ากำลังรักษาพยาธิ แต่มีเจตนาแท้จริงคือเพื่อขโมยของมีค่าของอีวิง ในขณะที่กูสกำลังจะให้ยาชุดสุดท้ายเพื่อให้ถึงแก่ชีวิตนั้นเองเอาทัวก็มาช่วยชีวิตอีวิงเอาไว้ได้ เมื่อกลับถึงอเมริกาอีวิงและภรรยาได้แสดงเจตนาขอไม่เป็นส่วนหนึ่งของการนำมนุษย์มาเป็นทาสของบิดาของทั้งสอง
- เคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ และเอดินบะระ สกอตแลนด์ ค.ศ. 1936 โรเบิร์ต โฟรบิเชอร์
- ซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย ค.ศ. 1973 หลุยซา เรย์
- สหราชอาณาจักร ค.ศ. 2012 ทิโมธี คาเวนดิช บรรณาธิการสำนักพิมพ์อายุ 65 ปี ต้องประสบเคราะห์เมื่อนักเขียนอันธพาล Dermott Hoggins ที่เขียนหนังสือให้เขาได้ก่อเหตุฆาตกรรมนักวิจารณ์จนต้องเข้าคุก คาเวนดิชถูกข่มขู่จากญาติของ Hoggins เอากำไรจากการพิมพ์หนังสือ จนต้องไปขอความช่วยเหลือจากน้องชายชื่อ Denholme แต่ถูกหลอกให้เข้าไปอยู่ในบ้านพักคนชราภายใต้การปกครองของพยาบาล Noakes จนทั้งคาเวนดิชและเพื่อนร่วม "คุก" ต้องวางแผนหลบหนี
- กรุงนีโอโซล (เกาหลี) ค.ศ. 2144 ซอนมี-451 มนุษย์สังเคราะห์จากกระบวนการโคลนนิ่ง บริกรที่ทำหน้าที่ในร้านอาหารแห่งอนาคต "ปาปา ซอง" กล่าวในรูปแบบของการสัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายของเธอ ก่อนที่เธอจะถูกประหารชีวิต เธอได้เล่าว่าเธอถูกปลดปล่อยจากชีวิตของการเป็นทาส โดย "แฮ-จู ชาง" สมาชิกของสหภาพ ระหว่างการซ่อนตัวของซอนมี เธอได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายและหนึ่งในนั้นคือ ภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่องมาจาก "วิบากกรรมสยองของทิโมธี คาเวนดิช" จากนั้น ฝ่ายสหภาพได้พาซอนมีไปดูความโหดร้ายของระบอบการปกครองแบบบรรษัทแห่งนีโอโซลที่ว่าด้วย มนุษย์สังเคราะห์ทุกคนเป็นเหมือนอาหาร ทุกคนจะถูกรีไซเคิลเพื่อเป็นอาหารให้มนุษย์สังเคราะห์รุ่นต่อ ๆ ไป เธอตัดสินใจว่าระบบของสังคมบนพื้นฐานของความเป็นทาส และการแสวงหาผลประโยชน์จากมนุษย์สังเคราะห์เป็นเรื่องที่มากเกินไป จากนั้น เธอจึงถูกพาตัวไปที่เกาะฮาวาย เพื่อออกอากาศคำแถลงการณ์ของเธอต่อสาธารณชน ต่อมา แฮ-จู และ พรรคพวกของสหภาพถูกฆ่าตาย ซอนมีถูกจับตัวไป หลังจากที่เล่าเรื่องของเธอเสร็จ เธอก็ถูกประหารชีวิต
- เกาะฮาวาย โลกหลังอารยธรรมนุษย์ล่มสลาย (ระบุวันที่ไว้ว่า "106 ฤดูหนาว หลังอารยธรรมมนุษย์ล่มสลายจากสงครามโลกครั้งที่ 3 ค.ศ. 2321) ชาวพื้นเมืองชื่อแซครี่ ชนเผ่าที่รักสันติ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ตายไปในสงครามโลกครั้งที่ 3 ชนเผ่านี้มีความเชื่อว่า "ซอนมี" คือ พระเจ้า ทำให้พืชผักเจริญเติบโตงอกงาม แต่ว่า การติดเชื้อ (ทางความคิด) มีนามว่า "เฒ่าจอร์จี้" ผู้ที่นำความหายนะ ความกลัว สิ่งเลวร้ายมาสู่ชนเผ่า เพื่อนและหลานของแซครี่ถูกฆ่าโดย ชนเผ่าโคน่า ซึ่งเป็นชนเผ่ากินคน วันหนึ่งมีได้ชนเผ่าจากทางเหนือนามว่า "พรีเซียนส์" ชนเผ่าที่ยังมีเทคโนโลยีล้ำยุคหลงเหลืออยู่จากช่วงโลกล่มสลาย ในเหตุการณ์ ผู้หญิงนามว่า "เมโรนิม" ได้ช่วยหลานสาวของแซครี่ที่ชื่อ "แคทคิ้น" แชครี่จึงอาสานำทางเมโรนิมไปที่ดาวเทียมของสหภาพ ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา เพื่อส่งข้อความไปยังอารยธรรมอื่นที่ผู้คนได้จากโลกไปอยู่ดาวดวงอื่นแล้ว ณ สถานี โมโรนิมได้บอกแชครี่ว่า ซอนมีไม่ใช่พระเจ้า หากแต่เป็นบุคคลที่ไม่ได้เกิดตามธรรมชาติ อยู่พื้นที่อันห่างไกลชื่อว่า "นีโอโซล" เธอตายเพื่อจะเปลี่ยนความคิดของชนรุ่นหลัง แต่ "เฒ่าจอร์จี้" ได้กล่อมประสาทแซครี่ให้ฆ่าเมโรนิม แต่หลังจากได้ดูวิดีโอของซอนมีที่ได้ออกอากาศในวันสหภาพล่มสลาย เขาจึงเปลี่ยนความคิด เฒ่าจอร์จี้ได้หายไป หลังจากกลับมาที่หมู่บ้าน เกิดการปะทะกันระหว่างชนเผ่าโคน่ากับชนเผ่ารักสันติ คนส่วนใหญ่ตายหมดเหลือแต่ "แคทคิ้น" แซครี่จึงช่วยแคทคิ้นออกมา จากนั้นก็เกิดการสู้รบระหว่างแซครี่และหัวหน้าชนเผ่าโคน่า แต่เมโรนิมได้ช่วยแชครี่ไว้ หลังจากนั้น ทั้งสามก็ได้อยู่บนเรือ (ยาน) ของพรีเซียนส์ จากนั้นก็ร่วมเดินทางไปสู่โลกใบใหม่
- ช่วงเวลาที่ 7 ไม่ได้มีการกล่าวอย่างแน่ชัดแต่มีการคาดการณ์ว่าเป็นโลกใบใหม่ อันมีดวงจันทร์สองดวง ห่างไกลไปจากโลก แชครี่ในวัยชราได้เล่าเรื่องให้เด็ก ๆ ที่นั่งฟังอยู่รอบกองไฟ เมื่อเล่าเรื่องจบ แชครี่และโมโรนิมที่ก้าวออกมาหน้าบ้านได้โอบกอดซึ่งกันและกันด้วยความรัก
รายชื่อนักแสดง
[แก้]นักแสดง | "บันทึกท่องแปซิฟิกของอดัม อีวิง" (1849) | "จดหมายจากเซเดลเกม" (1936) | "ครึ่งชีวิต: เรื่องลึกลับครั้งแรกของหลุยซา เรย์" (1973) | "วิบากกรรมสยองของทิโมธี คาเวนดิช" (2012) | "คำให้การของซอนมี–451" (2144) | "ช่องสลูชาและเรื่องต่อมาหลังจากนั้น" (2321) |
---|---|---|---|---|---|---|
ทอม แฮงส์ | Dr. Henry Goose | Hotel Manager | Isaac Sachs | Dermot Hoggins | Cavendish Look-a-like Actor | Zachry |
ฮัลลี เบอร์รี | Native Woman | Jocasta Ayrs | Luisa Rey | Indian Party Guest | Ovid | Meronym |
Jim Broadbent | Captain Molyneux | Vyvyan Ayrs | — | Timothy Cavendish | Korean Musician | Prescient 2 |
ฮิวโก วีฟวิง | Haskell Moore | Tadeusz Kesselring | Bill Smoke | Nurse Noakes | Boardman Mephi | Old Georgie |
จิม สเตอเจส | Adam Ewing | Poor Hotel Guest | Megan's Dad | Highlander | Hae-Joo Chang | Adam/Zachry's Brother in Law |
แบ ดูนา | Tilda Ewing | — | Megan's Mom, Mexican Woman | — | Sonmi~451, Sonmi~351, Sonmi Prostitute | Zachry's First Wife |
เบน วิชอว์ | Cabin Boy | Robert Frobisher | Store Clerk | Georgette | — | Tribesman |
James D'Arcy | — | Young Rufus Sixsmith | Old Rufus Sixsmith | Nurse James | Archivist | — |
โจว ซวิ่น | — | — | Talbot/Hotel Manager | — | Yoona~939 | Rose |
Keith David | Kupaka | — | Napier | — | An-Kor Apis | Prescient |
David Gyasi | Autua | — | Lester Rey | — | — | Duophysite |
ซูเซิน ซาแรนดอน | Madame Horrox | — | — | Older Ursula | Yosouf Suleiman | Abbess |
ฮิว แกรนต์ | Reverend Giles Horrox | Hotel Heavy | Lloyd Hooks | Denholme Cavendish | Seer Rhee | Kona Chief |
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "CLOUD ATLAS (15)". British Board of Film Classification. 2012-10-08. สืบค้นเมื่อ 2012-10-08.
- ↑ "Cloud Atlas Movie Tickets, Reviews, and Photos". Fandango.com. สืบค้นเมื่อ 2012-11-02.
- ↑ Debruge, Peter (September 8, 2012). "Variety Reviews - Cloud Atlas - Toronto Film Fest Reviews - - Review by Peter Debruge". Variety. สืบค้นเมื่อ October 29, 2012.
- ↑ Bailey, Cameron. "Cloud Atlas". Toronto International Film Festival. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-11-25. สืบค้นเมื่อ October 29, 2012.
- ↑ Pidd, Helen (June 22, 2011). "Cloud Atlas to be filmed in Berlin as city eyes starring role in movies". The Guardian.
- ↑ Kaufman, Amy (October 25, 2012). "'Silent Hill' sequel likely to lead lackluster weekend at box office". Los Angeles Times.
- ↑ "Cloud Atlas (2012)". Box Office Mojo. 2012-10-28. สืบค้นเมื่อ 2012-11-02.