การป้องกันโกดังซื่อหาง
การป้องกันโกดังซื่อหาง | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ ยุทธการที่เซี่ยงไฮ้ ใน the สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
สาธารณรัฐจีน | ญี่ปุ่น | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
เชีย จินหยวน | โอคุจิ เด็นชิจิ | ||||||
กำลัง | |||||||
|
| ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
จีนกล่าวอ้างว่า: ถูกสังหาร 10 นาย บาดเจ็บ 37 นาย |
ญี่ปุ่นกล่าวอ้างว่า: ถูกสังหาร 1 นาย บาดเจ็บ 41 นาย[1][2] |
การป้องกันโกดังซื่อหาง เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม ถึง 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1937 และเป็นจุดเริ่มต้นของการยุติของการรบที่เซี่ยงไฮ้เป็นเวลาสามเดือนในช่วงเริ่มต้นของสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง เหล่าทหารที่คอยปกป้องโกดังแห่งนี้ได้ต่อสู้รบกับกองทัพญี่ปุ่นจำนวนมากมายและทำการปิดล้อมกองทัพจีนที��ถอยร่นไปทางตะวันตกในช่วงระหว่างยุทธการที่เซี่ยงไฮ้ การป้องกันโกดังที่ประสบความสำเร็จทำให้เกิดการปลอบขวัญกำลังใจแก่กองทัพจีนและประชาชนในผลพวงที่ทำให้หมดกำลังใจจากการรุกรานเซี่ยงไฮ้ของญี่ปุ่น ที่ตั้งของโกดังอยู่ตรงข้ามลำคลองซูโจวจากเขตสัมปทานของต่างชาติในเซี่ยงไฮ้ซึ่งหมายถึงการต่อสู้รบที่เกิดขึ้นในมุมมองเต็มรูปแบบของมหาอำนาจตะวันตก
มันอยู่ตรงข้ามกับเขตสัมปทานของต่างชาติในเซี่ยงไฮ้ และญี่ปุ่นไม่กล้าที่จะเรียกให้มีการโจมตีด้วยปืนใหญ่จากทางเรือในพื้นที่นี้ได้ เนื่องจากกระสุนปืนใหญ่อาจจะไปตกลงใส่เขตสัมปทานเข้าและก่อให้เกิดกรณีข้อพิพาทกับชาวยุโรปและชาวอเมริกัน ซึ่งญี่ปุ่นต้องการที่จะหลีกเลี่ยงสงคราม ยิ่งไปกว่านั้น ญี่ปุ่นไม่กล้าที่จะใช้แก๊สมัสตาร์ดเหมือนกับที่พวกเขาทำที่อื่นๆ ในเซี่ยงไฮ้ ในมุมมองของมหาอำนาจต่างชาติ ด้วยความใกล้ชิดนี้ได้ดึงดูดความสนใจ หากเป็นเพียงช่วงเวลาอันสั้น ๆ ของประชาคมระหว่างประเทศต่อคำเชิญชวนของเจียง ไคเชก สำหรับการสนับสนุนทั่วโลกเพื่อต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น
ในจีน ทหารผู้ปกป้องจำนวน 452 นายที่เป็นที่รู้จักกันในนามว่า วีรบุรุษแปดร้อยนาย เนื่องจากผู้บัญชาการทหารนามว่า เชีย จินหยวน ไม่ต้องการที่จะเปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขาแก่ญี่ปุ่นจึงได้บอกจำนวนตัวเลขที่เกินจริงแก่มัคคุเทศก์สาวนามว่า หยาง ฮัวหมิ่น เพื่อประกาศให้สาธารณชนได้รับรู้
- ↑ "11.閘北進撃戦(10月27日)". Japan Center for Asian Historical Records. สืบค้นเมื่อ 24 March 2023.
- ↑ 支那事変尽忠録 第三卷. 海軍省教育局. p. 231-234. สืบค้นเมื่อ 24 March 2023.