ลอสแอนเจลิส
ลอสแอนเจลิส Los Angeles | |
---|---|
![]() | |
![]() ที่ตั้งในเทศมณฑลลอสแอนเจลิส | |
พิกัด: 34°03′N 118°15′W / 34.050°N 118.250°W | |
ประเทศ | ![]() |
รัฐ | ![]() |
เทศมณฑล | ลอสแอนเจลิส |
ท่าอากาศยาน | ท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส |
เว็บไซต์ | www |
ลอสแอนเจลิส (อังกฤษ: Los Angeles /lɔːs ˈændʒələs/ ; สเปน: Los Ángeles, ออกเสียง: [los ˈaŋxeles])[1] หรือที่รู้จักในชื่อ แอลเอ (L.A.) เป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรมากที่สุดอันดับสองในสหรัฐโดยเป็นรองเพียงนิวยอร์ก และเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในรัฐแคลิฟอร์เนียด้วยจำนวนผู้อาศัยประมาณ 3.9 ล้านคนภายในเขตเมืองใน ค.ศ. 2023 ลอสแอนเจลิสเป็นศูนย์กลางทางการค้าและวัฒนธรรมในภูมิภาคเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย มีจุดเด่นในด้านสภาพภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ส่งผลให้มีผู้พลัดถิ่นจากภูมิภาคอื่นโดยเฉพาะชาวเอเชียและอเมริกาใต้เข้ามาจำนวนมาก เนื่องจากลักษณะของอากาศที่อบอุ่นสบาย และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีการปะปนของวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก
ชื่อลอสแอนเจลิส (Los Angeles) /lɒs.ˈæn.dʒə.lɪs/ มาจากคำว่า โลสอังเฆเลส (สเปน: Los Ángeles) /los.'aŋ.xe.les/ ในภาษาสเปน หมายถึง ทูตสวรรค์หลายองค์ เป็นรูปพหูพจน์ของคำว่า el ángel ซึ่งเป็นเพศชายชื่อเมืองจึงมีความหมายว่า "เมืองแห่งทูตสวรรค์" พื้นที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในแอ่งทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนียติดกับมหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันตก และขยายบางส่วนผ่านเทือกเขาซานตาโมนิกาและทางเหนือสู่หุบเขาซานเฟอร์นันโด โดยใจกลางเมืองติดกับหุบเขาซานกาเบรียลทางทิศตะวันออก ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 469 ตารางไมล์ (1,210 ตารางกิโลเมตร) และเป็นที่ตั้งเทศมณฑลลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นเทศมณฑลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐด้วยประชากร 12 ล้านคนใน ค.ศ. 2023[2] ลอสแอนเจลิสยังเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมมากเป็นอันดับสามในสหรัฐ ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวกว่า 2.7 ล้านคนใน ค.ศ. 2023
พื้นที่ปัจจุบันของลอสแอนเจลิสเคยเป็นถิ่นอาศัยของชาวตองวาพื้นเมืองซึ่งในเวลาต่อมาดินแดนทั้งหมดถูกอ้างเป็นกรรมสิทธิ์ของสเปนโดย ฆวน โรดริเกซ กาบรีโย ใน ค.ศ. 1542 ลอสแอนเจลิสเริ่มตั้งเป็นเมืองเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1781 โดยฟิลิป เดอ เนฟในขณะที่มีประชากร 1,610 คน ต่อมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเม็กซิโกในต้นศตวรรษที่ 19 ภายหลังสงครามประกาศเอกราชเม็กซิโก ต่อมา ลอสแอนเจลิสและดินแดนส่วนที่เหลือของรัฐแคลิฟอร์เนียถูกซื้อโดยเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญากัวดาลูเป อีดัลโก และกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐ ก่อนที่จะถูกรวมเป็นเทศบาลเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1850 ห้าเดือนก่อนที่แคลิฟอร์เนียจะมีสถานะกลายเป็นรัฐของสหรัฐ มีการค้นพบปิโตรเลียมในช่วงทศวรรษที่ 1890 ทำให้เศรษฐกิจและชื่อเสียงของเมืองเติบโตอย่างรวดเร็ว[3] ลอสแอนเลลิสได้รับการขยายเมืองจากการสร้างสะพานส่งน้ำลอสแอนเจลิสซึ่งเสร็จสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1913 ซึ่งส่งน้ำจากบริเวณแคลิฟอร์เนียตะวันออก
ลอสแอนเจลิสเป็นที่รู้จักในฐานะที่ตั้งของฮอลลีวูดซึ่งมีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ และการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลก และมีท่าเรือที่คับคั่งที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปอเมริกา[4][5] ใน ค.ศ. 2018 มหานครลอสแอนเจลิสมีผลิตภัณฑ์มหานครรวมมากกว่า 1.0 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[6] ทำให้เมืองนี้เป็นเมืองที่มีอัตราจีดีพีสูงเป็นอันดับสามของโลกต่อจากนิวยอร์กและโตเกียว และยังเป็นปลายทางของถนนสายประวัติศาสตร์ ทางหลวงสหรัฐหมายเลข 66 ลอสแอนเจลิสเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ได้แก่ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA) และมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย (USC) ทีมกีฬาที่มีชื่อเสียงในเมือง ได้แก่ ลอสแอนเจลิสเลเกอส์ (บา��เกตบอล) ลอสแอนเจลิส คลิปเปอร์ส (บาสเกตบอล) ลอสแอนเจลิส สปาร์ค (บาสเกตบอลหญิง) ลอสแอนเจลิส ดอดจ์เจอร์ส (เบสบอล) ลอสแอนเจลิส คิงส์ (ฮอกกี้น้ำแข็ง) ลอสแอนเจลิส กาแลกซี (ฟุตบอล) และ ซี.ดี. ชีวาส ยูเอสเอ (ฟุตบอล) ลอสแอนเจลิสได้เคยเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิกฤดูร้อนสองครั้งใน ค.ศ. 1932 และ ค.ศ. 1984 และจะเป็นเจ้าภาพครั้งที่สามในโอลิมปิกฤดูร้อน 2028 ปัจจุบันลอสแอนเจลิสกำลังประสบปัญหาภัยแล้ง แม้ว่าบริษัทใหญ่หลายแห่งในย่านดาวน์ทาวน์จะปิดตัวลง นับตั้งแต่การระบาดทั่วของโควิด-19 แต่ในปัจจุบันเมืองลอสแอนเจลิสกำลังถูกพัฒนาเพื่อรองรับการจัดแสดงผลงานทางสถาปัตยกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งออกแบบโดยแฟรงก์ เกห์รี[7]
ประวัติ
[แก้]ยุคแรกและการค้นพบดินแดนโดยจักรวรรดิสเปน
[แก้]
การตั้งถิ่นฐานของชาวพื้นเมืองแคลิฟอร์เนียในลุ่มน้ำลอสแอนเจลิสสมัยใหม่ และหุบเขาซานเฟอร์นันโดถูกครอบงำโดยตองวา (ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อกาเบรียเลโนนับตั้งแต่ยุคอาณานิคมของสเปน) ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของชาวตองวาในภูมิภาคนี้คือการตั้งถิ่นฐานของยาอังกา (Tongva: Iyáangẚ) ซึ่งแปลว่า "สถานที่แห่งต้นโอ๊กพิษ" และยังได้รับการแปลว่า "หุบเขาแห่งควัน"[8][9][10]
การเดินทางมาถึงของนักสำรวจชาวสเปนนามว่า ฆวน โรดริเกซ กาบรีโย เป็นจุดเริ่มต้นของการอ้างกรรมสิทธิ์ดินแดนทั้งหมดให้แก่จักรวรรดิสเปนใน ค.ศ. 1542 การสำรวจอาณานิคมยังดำเนินต่อไปตามชายฝั่งแปซิฟิกจากฐานที่ตั้งอาณานิคมก่อนหน้านี้ของนิวสเปนในอเมริกากลางและอเมริกาใต้[11] ก่อนที่กัสปาร์ เด ปอร์โตลาและคณะฟรานซิสกันนำโดย ฆวน เกรสปี มาถึงสถานที่ปัจจุบันในลอสแอนเจลิสเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1769[12] การเผยแพร่คริสตศาสนาเริ่มต้นใน ค.ศ. 1771 โดยไฟรเออร์นามว่าจูนิเปโร เซอร์รา เมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1781 กลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐาน 44 คนที่รู้จักกันในชื่อ "Los Pobladores" ได้ก่อตั้งปวยโบล (เมือง) ที่พวกเขาเรียกว่า El Pueblo de Nuestra Señora la Reina de los Ángeles หรือ "เมืองของพระแม่ราชินีแห่งนางฟ้า"[13] เมืองในปัจจุบันมีอัครสังฆมณฑลนิกายโรมันคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ สองในสามของผู้ตั้งถิ่นฐานชาวเม็กซิกันหรือ (สเปนใหม่) เป็นลูกครึ่งซึ่งเป็นส่วนผสมของเชื้อสายแอฟริกัน ชนพื้นเมือง และชาวยุโรป[14]
การตั้งถิ่นฐานของประชากรในยุคแรกมักยังไม่มีความเป็นสังคมเมืองมากนัก ประชากรส่วนใหญ่ซึ่งมีเพียงหลักสิบคน ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและทำฟาร์มปศุสัตว์หลายทศวรรษ แต่เมื่อถึงปี 1820 ประชากรก็เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 650 คน[15] ปัจจุบัน ปวยโบลได้รับการรำลึกถึงในย่านประวัติศาสตร์ของลอสแอนเจลิส ปูเอโบลพลาซา และถนนโอลเวราซึ่งเป็นบริเวณที่เก่าแก่ที่สุดของลอสแอนเจลิส[16] นิวสเปนได้รับเอกราชจากจักรวรรดิสเปนใน ค.ศ. 1821 บริเวณทั้งหมดได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐที่หนึ่งของเม็กซิโก ในระหว่างการปกครองของเม็กซิโก ผู้ว่าการนามว่า Pío Pico ได้สร้างและบูรณะลอสแอนเจลิสจนกลายเป็นเมืองหลวงของภูมิภาคอัลตาแคลิฟอร์เนีย[17] ใน ค.ศ. 1846 ระหว่างสงครามเม็กซิกัน-อเมริกันที่ขยายวงกว้าง นาวิกโยธินจากสหรัฐเข้ายึดครองบริเวณปวยโบล ส่งผลให้มีการปิดล้อมเมืองซึ่งกองกำลังติดอาวุธเม็กซิกัน 150 นายต่อสู้กับผู้ยึดครองท้องถิ่นซึ่งจบลงด้วยการยอมจำนน การปกครองของเม็กซิโกสิ้นสุดลงในช่วงหลังการพิชิตแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเม็กซิกัน-อเมริกัน ชาวอเมริกันเข้าควบคุมดินแดนแคลิฟอร์เนียหลังจากการสู้รบหลายครั้ง ซึ่งปิดท้ายด้วยการลงนามในสนธิสัญญาเมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1847 สนธิสัญญากัวดาลูเป อีดัลโกยกลอสแอนเจลิสและส่วนที่เหลือของแคลิฟอร์เนียให้แก่สหรัฐ
ยุคหลังการพิชิต และการครอบครองของเม็กซิโก
[แก้]
เริ่มมีการก่อสร้างทางรถไฟรวมถึงเส้นทาข้ามทวีปบริเวณแปซิฟิกตอนใต้จากนิวออร์ลีนส์มายังลอสแอนเจลิสใน ค.ศ. 1876 ปิโตรเลียมถูกค้นพบในเมืองและพื้นที่โดยรอบใน ค.ศ. 1892 และใน ค.ศ. 1923 แคลิฟอร์เนียกลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของประเทศ คิดเป็นประมาณหนึ่งในสี่ของผลผลิตปิโตรเลียมของโลก[18] ภายในปี 1900 ประชากรเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 102,000 คน สร้างปัญหาให้กับแหล่งน้ำของเมือง[19] การสร้างสะพานส่งน้ำลอสแอนเจลิสเสร็จสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1913 ภายใต้การดูแลของวิลเลียม มัลฮอลแลนด์ ทำให้เมืองนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากข้อกำหนดในกฎบัตรของเมืองที่ห้ามไม่ให้เมืองลอสแอนเจลิสขายหรือจัดหาน้ำจากท่อระบายน้ำไปยังพื้นที่ใด ๆ นอกพรมแดน เมืองและชุมชนที่อยู่ติดกันหลายแห่งจึงรู้สึกว่าถูกบังคับให้เข้าร่วมลอสแอนเจลิส[20]
ลอสแอนเจลิสได้จัดทำข้อบัญญัติการแบ่งเขตเทศบาลฉบับแรกในสหรัฐเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1908 สภาเมืองได้ประกาศการใช้ที่ดินสำหรับที่อยู่อาศัยและอุตสาหกรรม พระราชกฤษฎีกาใหม่ได้กำหนดเขตที่อยู่อาศัยสามแห่ง โดยห้ามใช้เพื่อจุดประสงค์ทางอุตสาหกรรม ข้อห้ามดังกล่าวรวมถึงโรงนา ลานไม้ และการใช้ที่ดินทางอุตสาหกรรมที่ใช้อุปกรณ์ขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักร กฎหมายเหล่านี้ยังบังคับใช้กับทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม ข้อห้ามเหล่านี้เป็นกิจกรรมเพิ่มเติมจากกิจกรรมที่มีอยู่ซึ่งถูกควบคุมแล้วว่าเป็นการก่อความรำคาญ ซึ่งรวมถึงคลังสินค้าวัตถุระเบิด แก๊ส การขุดเจาะน้ำมัน โรงฆ่าสัตว์ และโรงฟอกหนัง สภาเมืองลอสแอนเจลิสยังได้กำหนดเขตอุตสาหกรรมเจ็ดแห่งภายในเมืองด้วย อย่างไรก็ตาม ระหว่างปี 1908 ถึง 1915 สภาเมืองได้กำหนดข้อยกเว้นหลายประการสำหรับการสั่งห้ามที่นำไปใช้กับเขตที่อยู่อาศัยทั้งสามแห่งนี้ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการใช้งานทางอุตสาหกรรมเกิดขึ้นภายในเขตดังกล่าว มีความแตกต่างสองประการระหว่างกฎหมายเขตที่อยู่อาศัย ค.ศ. 1908 และกฎหมายการแบ่งเขตในสหรัฐ ประการแรก กฎหมายปี 1908 ไม่ได้กำหนดแผนที่การแบ่งเขตที่ครอบคลุมเหมือนที่กฎหมายกำหนดเขตนครนิวยอร์กปี 1916 ระบุ ประการที่สอง โซนที่อยู่อาศัยไม่ได้แบ่งแยกประเภทของที่อยู่อาศัย หากแต่กำหนดข้อปฏิบัติต่ออพาร์ทเมนท์ โรงแรม และบ้านเดี่ยวอย่างเท่าเทียมกัน[21]
ใน ค.ศ. 1910 ย่านฮอลลีวูดได้รวมตัวเข้าเป็นส่วนหนึ่งลอสแอนเจลิส โดยมีบริษัทภาพยนตร์ 10 แห่งดำเนินธุรกิจในเมืองนี้อยู่แล้ว ภายในปี 1921 อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของโลกมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์กระจุกอยู่ในแอลเอ[22] ส่งผลให้เศรษฐกิจของเมืองได้รับผลกระทบเล็กน้อยแม้จะเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษต่อมา ประชากรในเมืองเพิ่มขึ้นเป็นประมาณหนึ่งล้านคนใน ค.ศ. 1930 และลอสแอนเจลิสเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งแรกใน ค.ศ. 1932
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
[แก้]
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ลอสแอนเจลิสเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญ อาทิ การต่อเรือและสร้างอากาศยาน และพื้นที่ลอสแอนเจลิสเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ของประเทศ 6 ราย ในช่วงสงครามมีการผลิตเครื่องบินสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีจำนวนมากกว่าการผลิตทั้้งหมดก่อนหน้านี้นับตั้งแต่สองพี่น้องไรต์ทำการบินเครื่องบินลำแรกใน ค.ศ. 1903 รวมกัน ซึ่งในเวลาต่อมา วิลเลียม เอส. นัดเซน นายพลชาวอเมริกันในช่วงสงครามโลกในฐานะคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านกลาโหมแห่งชาติกล่าวไว้ว่า "เราชนะเพราะเราปราบศัตรูด้วยการผลิตถล่มอย่างถล่มทลาย แบบที่เขาไม่เคยเห็นและไม่เคยฝันมาก่อนว่าจะเป็นไปได้" หลังสงครามสิ้นสุด ลอสแอนเจลิสมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยแผ่ขยายออกไปถึงหุบเขาซานเฟอร์นันโด[23] การขยายตัวของระบบทางหลวงระหว่างรัฐในช่วงทศวรรษ 1950 และ 1960 ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของชานเมือง และส่งสัญญาณถึงการล่มสลายของระบบรางไฟฟ้าของเอกชนในเมือง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นระบบที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผลที่ตามมาของสงครามโลกครั้งที่สอง การเติบโตของชานเมือง และความหนาแน่นของประชากร สวนสนุกหลายแห่งจึงถูกสร้างขึ้นและเปิดบริการในบริเวณนี้ ตัวอย่างคือ เบเวอร์ลี พาร์ค ความขัดแย้งทางเชื้อชาติก่อให้เกิดการจราจลใน ค.ศ. 1965 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 34 รายและบาดเจ็บมากกว่า 1,000 ราย[24]
ใน ค.ศ. 1973 ทอม แบรดลีย์ได้รับเลือกให้เป็นนายกเทศมนตรีชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันคนแรกของเมือง โดยดำรงตำแหน่ง 5 วาระจนกระทั่งเกษียณอายุใน ค.ศ. 1993 ในช่วงต้น ค.ศ. 1984 เมืองนี้มีประชากรแซงหน้าชิคาโกจึงกลายเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองในสหรัฐ แม้จะเผชิญหน้ากับการคว่ำบาตรโอลิมปิกฤดูร้อน 1984 ทว่าเมืองนี้ก็ได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อนเป็นครั้งที่สอง และประสบความสำเร็จทางการเงินมากกว่าครั้งก่อน ความตึงเครียดทางเชื้อชาติปะทุขึ้นในวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1992 โดยคณะลูกขุนซิมิแวลลีย์ของเจ้าหน้าที่กรมตำรวจลอสแอนเจลิส (LAPD) สี่นายพ้นผิดในข้อหาทำร้ายร่างกาบร็อดนีย์ คิง ซึ่งนำไปสู่การจลาจลครั้งใหญ่[25]
ในปี 1994 แผ่นดินไหวขนาด 6.7 แมกนิจูดนอร์ธริดจ์สั่นสะเทือนทั่วทั้งเมือง ทำให้เกิดความเสียหาย 12.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและมีผู้เสียชีวิต 72 ราย เหตุการณ์สำคัญในศต���รรษนี้จบลงด้วยเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับ Rampart ซึ่งเป็นหนึ่งในคดีที่มีการบันทึกไว้อย่างกว้างขวางที่สุดเกี่ยวกับการประพฤติมิชอบของตำรวจในประวัติศาสตร์อเมริกา[26]
ศตวรรษที่ 21
[แก้]ใน ค.ศ. 2002 นายกเทศมนตรี เจมส์ ฮาห์น เป็นผู้นำการรณรงค์ต่อต้านการแยกตัวออกจากเมือง ส่งผลให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเอาชนะความพยายามฮอลลีวูดที่จะแยกตัวออกจากเมือง[27] ในปี 2022 คาเรน แบสกลายเป็นนายกเทศมนตรีหญิงคนแรกของเมือง ทำให้ลอสแอนเจลิสเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐที่เคยมีสตรีเป็นนายกเทศมนตรี[28] ลอสแอนเจลิสจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนและพาราลิมปิกฤดูร้อน 2028 ทำให้ลอสแอนเจลิสเป็นเมืองที่สามที่เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกถึง 3 ครั้ง[29]
ภูมิศาสตร์
[แก้]
เมืองลอสแอนเจลิสครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 502.7 ตารางไมล์ (1,302 ตารางกิโลเมตร) ประกอบด้วยที่ดิน 468.7 ตารางไมล์ (1,214 ตารางกิโลเมตร) และแหล่งน้ำ 34.0 ตารางไมล์ (88 ตารางกิโลเมตร)[79] เมืองนี้มีขนาดทอดยาว 44 ไมล์ (71 กม.) จากเหนือจรดใต้ และ 29 ไมล์ (47 กม.) จากตะวันออกไปตะวันตก ความยาวปริมณฑลของเมืองคือ 342 ไมล์ (550 กม.) ลอสแอนเจลิสมีทั้งที่ราบและบริเวณที่เป็นเนินเขา จุดที่สูงที่สุดในเมืองคือ Mount Lukens ที่ความสูง 1,547 ม. (5,074 ฟุต)[30] ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือสุดของหุบเขาซานเฟอร์นันโด ปลายด้านตะวันออกของเทือกเขาซานตาโมนิกาทอดยาวจากตัวเมืองไปจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิก และแยกแอ่งลอสแอนเจลิสออกจากหุบเขาซานเฟอร์นันโด พื้นที่เนินเขาอื่น ๆ ของลอสแอนเจลิส ได้แก่ พื้นที่ภูเขาวอชิงตันทางตอนเหนือของดาวน์ทาวน์ พื้นที่ทางตะวันออก เช่น บอยล์ไฮท์ส เขตเครนชอว์รอบ ๆ เนินเขาบอลด์วิน และเขตซานเปโดร บริเวณรอบเมืองเต็มไปด้วยมีภูเขาสูงจำนวนมาก ที่เด่นคือเทือกเขาซานเกเบรียลซึ่งเป็นพื้นที่พักยอดนิยมสำหรับเมืองแอนเจเลโนส จุดสูงสุดคือภูเขาแซนอันโตนิโอ หรือที่รู้จักในท้องถิ่นว่าภูเขาบัลดีซึ่งมีความสูงถึง 3,068 ม. ไกลออกไป จุดที่สูงที่สุดในแคลิฟอร์เนียตอนใต้คือภูเขาซานกอร์โกนิโอ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองลอสแอนเจลิสไปทางตะวันออก 130 กม. โดยมีความสูง 3,506 ม.[31] แม่น้ำลอสแอนเจลิสซึ่งทำหน้าที่เป็นช่องทางระบายน้ำหลัก ถูกขยายและปูด้วยคอนกรีตความยาว 82 กิโลเมตรโดยวิศวกรประจำเมืองเพื่อทำหน้าที่เป็นช่องทางควบคุมน้ำท่วม

ลอสแอนเจลิสอุดมไปด้วยพันธุ์พืชพื้นเมือง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความหลากหลายของแหล่งที่อยู่อาศัย รวมถึงชายหาด พื้นที่ชุ่มน้ำ และภูเขา พืชพื้นเมือง ได้แก่: ดอกป๊อปปี้แคลิฟอร์เนีย ดอกป๊อปปี้มาติลิจา ดอกโคสต์ไลฟ์โอ๊ค มะเดื่อ วิลโลว์ และไจแอนท์ไวลด์ไรย์ พันธุ์พื้นเมืองเหล่านี้หลายชนิด เช่น ดอกทานตะวันในลอสแอนเจลิส กลายเป็นของหายากมากจนถือว่าใกล้สูญพันธุ์ แม้ว่าจะไม่ใช่พืชพื้นเมืองในพื้นที่ แต่ต้นไม้ประจำเมืองของลอสแอนเจลิสคือต้นปะการัง และดอกไม้ประจำเมืองลอสแอนเจลิสคือ Bird of Paradise (Strelitzia reginae) ปาล์มพัดเม็กซิกัน, ปาล์มหมู่เกาะคานารี, ควีนปาล์ม, ปาล์มอินทผลัม และปาล์มพัดแคลิฟอร์เนีย มีอยู่ทั่วไปในพื้นที่ลอสแอนเจลิส แม้ว่าจะมีเพียงพันธุ์สุดท้ายเท่านั้นที่มีถิ่นกำเนิดในแคลิฟอร์เนีย แม้ว่าจะยังไม่มีถิ่นกำเนิดในเมืองลอสแอนเจลิสก็ตาม
สภาพอากาศ
[แก้]ลอสแอนเจลิสมีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนสองฤดู คือ ฤดูร้อนที่แห้ง และฤดูหนาวที่ไม่รุนแรงมากนัก แต่ปริมาณฝนต่อปีน้อยกว่าบริเวณภูมิอากาศเมดิเตอร์เรเนียนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ โดยทั่วไปอุณหภูมิตอนกลางวันจะค่อนข้างเย็นตลอดทั้งปี ในฤดูหนาว อุณหภูมิโดยเฉลี่ยประมาณ 20 °C ทำให้รู้สึกเหมือนอาศัยในเขตร้อน แม้ว่าอุณหภูมิจะเย็นเกินไปเล็กน้อยที่จะเป็นภูมิอากาศแบบเขตร้อนโดยเฉลี่ย เนื่องจากอุณหภูมิในตอนกลางคืนจะค่อนข้างเย็นสบาย ฤดูใบไม้ร่วงมีแนวโน้มที่จะร้อน โดยคลื่นความร้อนครั้งใหญ่มักเกิดขึ้นในเดือนกันยายนและตุลาคม ในขณะที่เดือนฤดูใบไม้ผลิมีแนวโน้มที่จะเย็นกว่าและมีฝนตกชุกมากขึ้น ลอสแอนเจลิสมีแสงแดดจัดตลอดทั้งปี โดยมีปริมาณฝนโดยเฉลี่ยเพียง 35 วันต่อปี[32]
อุณหภูมิในหุบเขาซานเฟอร์นันโดและซานเกเบรียลจะอุ่นกว่ามาก อุณหภูมิอาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในแต่ละวัน ในพื้นที่ภายในประเทศ ความแตกต่างระหว่างค่าต่ำสุดเฉลี่ยรายวันและค่าสูงสุดเฉลี่ยรายวันอยู่ที่มากกว่า 30 °F (17 °C)[33] อุณหภูมิเฉลี่ยของชายฝั่งทะเลทั้งปีอยู่ที่ 63 °F (17 °C) จาก 58 °F (14 °C) ในเดือนมกราคม ไปจนถึง 68 °F (20 °C) ในเดือนสิงหาคม[34] ชั่วโมงแสงแดดรวมมากกว่า 3,000 ชั่วโมงต่อปี จากเฉลี่�� 7 ชั่วโมงต่อวันในเดือนธันวาคม มาเป็นเฉลี่ย 12 ชั่วโมงต่อวันในเดือนกรกฎาคม[35]
เมื่อไม่นานมานี้ ความแห้งแล้งทั่วทั้งรัฐแคลิฟอร์เนียทำให้ปริมาณน้ำของเมืองน่าวิตกมากขึ้น ตัวเมืองลอสแอนเจลิสมีฝนตกเฉลี่ย 14.67 นิ้ว (373 มม.) ต่อปี ส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม โดยทั่วไปจะอยู่เป็นฝนตกปานกลางแต่บางครั้งก็มีฝนตกหนักในช่วงพายุฤดูหนาว ปริมาณน้ำฝนมักจะสูงกว่าในเนินเขาและทางลาดชายฝั่งของภูเขาเนื่องจากการยกตัวขึ้น วันในฤดูร้อนมักจะไม่มีฝนตก ไม่ค่อยมีอากาศชื้นเข้ามาทางทิศใต้หรือทิศตะวันออกอาจทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองช่วงสั้น ๆ ในช่วงปลายฤดูร้อนโดยเฉพาะบนภูเขา ทั้งอุณหภูมิเยือกแข็งและหิมะตกนั้นหาได้ยากมากในแอ่งเมืองและตามแนวชายฝั่ง โดยอุณหภูมิสูงสุด 32 °F (0 °C) ที่สถานีในตัวเมืองเกิดขึ้นครั้งสุดท้ายคือวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1979 อุณหภูมิเยือกแข็งเกิดขึ้นเกือบทุกปีในบริเวณหุบเขา ในขณะที่ภูเขาภายในเขตเมืองมักมีหิมะตกทุกฤดูหนาว ปริมาณหิมะที่ใหญ่ที่สุดที่บันทึกไว้ในตัวเมืองลอสแอนเจลิสคือ 2.0 นิ้ว (5 ซม.) เมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1932[36] หิมะตกในลอสแอนเจลิสครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1962[37]
ปัญหาสิ่งแวดล้อมและภูมิอากาศ
[แก้]สืบเนื่องจากปริมาณการใช้รถยนต์ที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และท่าเรือที่คับคั่ง ทำให้ลอสแอนเจลิสเป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในรูปแบบของควันพิษและฝุ่นละออง โดมีความอ่อนไหวต่อการผกผันของชั้นบรรยากาศ ซึ่งสะสมไอเสียจากยานพาหนะบนถนน เครื่องบิน หัวรถจักร การขนส่ง การผลิต และแหล่งที่มาอื่น ๆ เปอร์เซ็นต์ของมลพิษอนุภาคขนาดเล็ก (ชนิดที่แทรกซึมเข้าไปในปอด) ที่มาจากยานพาหนะในเมืองอาจสูงถึงร้อยละ 55
ปริมาณหมอกควันจะมากที่สุดตั้งแต่ประมาณเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ในขณะที่เมืองใหญ่อื่น ๆ อาศัยฝนเพื่อกำจัดหมอกควัน ลอสแอนเจลิสมีฝนตกเพียง 15 นิ้ว (380 มม.) ในแต่ละปี มลพิษสะสมหลายวันติดต่อกัน ปัญหาคุณภาพอากาศในลอสแอนเจลิสและเมืองใหญ่อื่น ๆ นำไปสู่การผ่านกฎหมายสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในยุคแรก ๆ ซึ่งรวมถึงพระราชบัญญัติอากาศสะอาดด้วย อย่างไรก็ตาม ทั่วทั้งรัฐแคลิฟอร์เนียไม่สามารถจัดทำแผนการดำเนินงานของรัฐที่จะทำให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพอากาศดังกลาาวได้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะระดับมลพิษในลอสแอนเจลิสที่เกิดจากยานพาหนะรุ่นเก่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐแคลิฟอร์เนียได้เป็นผู้นำประเทศในการทำงานเพื่อจำกัดมลพิษด้วยการบังคับใช้ยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษต่ำ คาดว่าหมอกควันจะยังคงลดลงต่อไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากมีมาตรการเชิงรุกในการลดหมอกควัน ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด การปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน และมาตรการอื่น ๆ
จำนวนการแจ้งเตือนหมอกควันระดับ 1 ในลอสแอนเจลิสลดลงจากกว่า 100 ครั้งต่อปีในช่วงทศวรรษ 1970 เหลือเกือบศูนย์ในศตวรรษที่ 21[38] อย่างไรก็ตามเมืองนี้ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีมลพิษทางอากาศมากที่สุดในสหรัฐ โดยมีมลพิษในระยะสั้นและมลพิษในอนุภาคตลอดทั้งปี[39] เมืองบรรลุเป้าหมายในการจัดหาพลังงานไฟฟ้าของเมือง 20 เปอร์เซ็นต์จากแหล่งพลังงานหมุนเวียนในปี 2010[40] ลอสแอนเจลิสยังเป็นที่ตั้งของแหล่งน้ำมันในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอีกด้วย มีบ่อน้ำมันที่ใช้งานอยู่มากกว่า 700 แห่งภายในระยะ 1,500 ฟุต (460 ม.) จากบ้าน โบสถ์ โรงเรียน และโรงพยาบาลในเมือง[41]
ทัศนียภาพ
[แก้]รูปแบบถนนในเมืองโดยทั่วไปเป็นไปตามแผนผังตาราง โดยมีความยาวบล็อกสม่ำเสมอและมีถนนตัดขวางเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตามมีความซับซ้อนเนื่องจากภูมิประเทศที่ขรุขระ ซึ่งจำเป็นต้องมีตารางที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละหุบเขาที่ลอสแอนเจลิสครอบคลุม ถนนสายหลักได้รับการออกแบบมาเพื่อการสัญจรปริมาณมากผ่านหลายส่วนของเมือง ซึ่งหลายแห่งมีความยาวมาก Sepulveda Boulevard เป็นสำคัญสถานที่และการขนส่งทางเดินในเมืองลอสแอนเจลิส และเมืองอื่น ๆ อีกหลายแห่งในภาคตะวันตก
การจราจรในลอสแอนเจลิสมีความพลุกลพล่านมากที่สุดเมืองหนึ่งของโลก ตามดัชนีการจราจรประจำปีรายงานว่า ผู้ขับขี่พาหนะในแอลเอใช้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้นอีกมากถึง 92 ชั่วโมงในแต่ละปี และในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนจะมีอัตราความแออัดสูงถึง 80%[42]
ประชากรศาสตร์
[แก้]การสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐ ค.ศ. 2010 รายงานว่าลอสแอนเจลิสมีประชากร 3,792,621 คน ความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ 8,092.3 คนต่อตารางไมล์ (3,124.5 คน/กม.2) การกระจายอายุคือ 874,525 คน (23.1%) อายุต่ำกว่า 18 ปี, 434,478 คน (11.5%) จาก 18 เป็น 24 ปี, 1,209,367 คน (31.9%) จาก 25 เป็น 44, 877,555 คน (23.1%) จาก 45 เป็น 64 และ 396,696 คน ( 10.5%) ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
มีที่อยู่อาศัย 1,413,995 ยูนิตเพิ่มขึ้นจาก 1,298,350 ยูนิตระหว่างปี 2005–2009 โดยมีความหนาแน่นเฉลี่ย 2,812.8 ครัวเรือนต่อตารางไมล์ (1,086.0 ครัวเรือน/กม.2) โดย 503,863 ครัวเรือน (38.2%) มีเจ้าของ และ 814,305 (61.8%) %) ถูกครอบครองโดยผู้เช่า อัตราตำแหน่งว่างของเจ้าของบ้านอยู่ที่ 2.1%; อัตราพื้นที่ว่างให้เช่าอยู่ที่ 6.1% ผู้คน 1,535,444 คน (40.5% ของประชากร) อาศัยอยู่ในหน่วยบ้านจัดสรรที่มีเจ้าของ และ 2,172,576 คน (57.3%) อาศัยอยู่ในบ้านเช่า ลอสแอนเจลิสมีรายได้เฉลี่ยของครัวเรือนอยู่ท���่ 49,497 ดอลลาร์ โดย 22.0% ของประชากรอยู่ต่ำกว่าอัตราความยากจนซึ่งกำหนดโดยรัฐบาลกลาง
การแบ่งแยกเชื้อชาติในลอสแอนเจลิสประกอบด้วย: คนผิวขาว 1,888,158 คน (49.8%) คนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน 365,118 คน (9.6%) คนอเมริกันพื้นเมือง 28,215 คน (0.7%) ชาวเอเชีย 426,959 คน (11.3%) ชาวหมู่เกาะแปซิฟิก 5,577 คน (0.1% ), 902,959 คนจากเชื้อชาติอื่น (23.8%) และ 175,635 (4.6%) มีสองเชื้อชาติขึ้นไป ลอสแอนเจลิสมีผู้พลัดถิ่นจากภูมิภาคอื่นโดยเฉพาะชาวเอเชียและอเมริกาใต้เข้ามาจำนวนมาก เนื่องจากลักษณะของอากาศที่อบอุ่นสบาย และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีการปะปนของวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก โดยเป็นปลายทางของผู้อพยพจาก 140 ประเทศและมีภาษาพูดมากกว่า 224 ภาษา[43]
คนผิวขาวที่ไม่ใช่ชาวสเปนคิดเป็น 28.7% ของประชากรใน ค.ศ. 2010 เทียบกับ 86.3% ใน ค.ศ. 1940 ประชากรผิวขาวที่ไม่ใช่ชาวสเปนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตามแนวชายฝั่งแปซิฟิก รวมถึงในละแวกใกล้เคียงและบนเทือกเขาซานตาโมนิกา ประชากรเชื้อสายเม็กซิกันเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มฮิสแปนิกที่ 31.9% ของประชากรทั้งหมดในเมือง รองลงมาคือกลุ่มชาติพันธุ์เอลซัลวาดอร์ (6.0%) และกัวเตมาลา (3.6%) ประชากรฮิสแปนิกมีชุมชนเม็กซิกันอเมริกัน และอเมริกากลางที่ก่อตั้งมายาวนาน และแพร่กระจายไปทั่วเมืองลอสแอนเจลิสและเขตเมืองใหญ่
กลุ่มชาติพันธุ์เอเชียที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ ชาวฟิลิปปินส์ (3.2%) และชาวเกาหลี (2.9%) ซึ่งมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่จัดตั้งขึ้นของตนเอง ได้แก่ โคเรียทาวน์ในวิลเชอร์เซ็นเตอร์และฮิสทอริกฟิลิปิโนทาวน์ ชาวจีนซึ่งคิดเป็น 1.8% ของประชากรในลอสแอนเจลีส ส่วนใหญ่อาศัยอยู่นอกเขตเมืองลอสแอนเจลิส และหุบเขาซานเกเบรียลทางตะวันออกของลอสแอนเจลิสเคาน์ตี้ แต่กลับปรากฏตัวให้จำนวนมากในเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไชนาทาวน์ ชาวแอฟริกันอเมริกันเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่โดดเด่นในลอสแอนเจลิสตอนใต้ ซึ่งกลายเป็นชุมชนแอฟริกันอเมริกันที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐตะวันตกนับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ลอสแอนเจลิสมีประชากรเม็กซิกัน, อาร์เมเนีย, ซัลวาดอร์, ฟิลิปปินส์ และกัวเตมาลาใหญ่เป็นอันดับสองของโลก โดยมีจำนวนประชากรชาวแคนาดามากเป็นอันดับสามของโลก และมีประชากรญี่ปุ่น อิหร่าน/เปอร์เซีย กัมพูชา และโรมานี (ยิปซี) มากที่สุดในประเทศ[44]
ศาสนา
[แก้]
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในลอสแอนเจลิส (65%) อัครสังฆมณฑลนิกายโรมันคาทอลิกแห่งลอสแอนเจลิสเป็นอัครสังฆมณฑลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ พระคาร์ดินัล โรเจอร์ มาโฮนี ในฐานะอาร์ชบิชอป กำกับดูแลการก่อสร้างอาสนวิหารพระแม่มารีย์ซึ่งเปิดในเดือนกันยายน ค.ศ. 2002 ในดาวน์ทาวน์ลอสแอนเจลิส[45] ด้วยจำนวนชาวยิว 621,000 คนในเขตมหานคร ส่งผลให้ภูมิภาคนี้มีประชากรชาวยิวมากเป็นอันดับสองในสหรัฐ รองจากนิวยอร์ก ชาวยิวในลอสแอนเจลิสจำนวนมากอาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันตกและในหุบเขาซานเฟอร์นันโด
ลอสแอนเจลิสมีประเพณีโปรเตสแตนต์ที่มีอิทธิพล พิธีโปรเตสแตนต์ครั้งแรกในลอสแอนเจลิสคือการประชุมเมธอดิสต์ที่จัดขึ้นในบ้านส่วนตัวในปี 1850 และโบสถ์โปรเตสแตนต์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังเปิดดำเนินการอยู่คือ First Congregational Church ก่อตั้งใน ค.ศ. 1867 ในช่วงต้นทศวรรษ 1900 สถาบันพระคัมภีร์แห่งลอสแอนเจลีสตีพิมพ์เอกสารการก่อตั้งขบวนการคริสเตียนนิกายฟันดาเมนทัลลิสต์ พระวิหารลอสแอนเจลbส แคลิฟอร์เนีย พระวิหารใหญ่เป็นอันดับสองดำเนินการโดยศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ตั้งอยู่บนถนนซานตาโมนิกา ในย่านเวสต์วูดของลอสแอนเจลิส วัดแห่งนี้อุทิศในปี 1956 เป็นพระวิหารแห่งแรกของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่สร้างขึ้นในแคลิฟอร์เนียและวิหารทางศาสนาวัดที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อสร้างเสร็จ[46]
เนื่องจากมีประชากรหลายเชื้อชาติจำนวนมากในลอสแอนเจลิส จึงมีความเชื่อที่หลากหลาย รวมถึงศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู ศาสนาอิสลาม โซโรอัสเตอร์ ศาสนาซิกข์ บาไฮ โบสถ์อีสเทิร์นออร์โธด็อกซ์ต่างๆ ศาสนาซูฟี ศาสนาชินโต ลัทธิเต๋า ขงจื๊อ ศาสนาพื้นบ้านของจีน และอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น ผู้อพยพจากเอเชีย ได้ก่อตั้งคริสตจักรพุทธที่สำคัญหลายแห่ง ซึ่งทำให้เมืองนี้เป็นที่ตั้งของชาวพุทธที่หลากหลายมากที่สุดในโลก[47] อเทวนิยม และความเชื่อทางโลกอื่น ๆ ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน
คนไร้บ้าน
[แก้]ณ เดือนมกราคม ค.ศ. 2020 มีคนไร้บ้านในเมืองลอสแอนเจลิสจำนวน 41,290 คน คิดเป็นประมาณ 62% ของประชากรคนไร้บ้านในแอลเอเคาน์ตี ซึ่งเพิ่มขึ้น 14.2% จากปีก่อน (โดยเพิ่มขึ้น 12.7% ในจำนวนประชากรไร้บ้านโดยรวม ศูนย์กลางของคนไร้บ้านในลอสแอนเจลิสคือย่านสกิดโรว์ ซึ่งมีคนไร้บ้านอยู่ 8,000 คน ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มประชากรคนไร้บ้านที่มั่นคงที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ[48][49] เป็นที่รู้จักในฐานะย่านที่เต็มไปด้วยคนไร้บ้านอาศัยอย่างแออัดมาตั้งแต่ทศวรรษ 1930 จนถึงปัจจุบัน
จำนวนประชากรไร้ที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นในลอสแอนเจลิสมีสาเหตุมาจากการขาดความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัย[50] และปัญหายาเสพติด เกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ของประชาชน 82,955 คนที่กลายเป็นคนไร้บ้านใหม่ในปี 2019 กล่าวว่าการไร้บ้านของพวกเขาเป็นเพราะความยากลำบากทางเศรษฐกิจ ในลอสแอนเจลิส คนผิวดำมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาคนไร้บ้านมากกว่าคนผิวขาวประมาณสี่เท่า
อาหาร
[แก้]วัฒนธรรมอาหารของลอสแอนเจลิสเกิดจาดการผสมผสานระหว่างอาหารระดับโลก สืบเนื่องมาจากประวัติศาสตร์และจำนวนผู้อพยพอันยาวนานของเมือง ใน ค.ศ. 2022 มิชลินไกด์ได้ยกย่องร้านอาหาร 10 แห่งในเมืองโดยให้ร้านอาหารสองแห่งได้รับดาวสองดวง และร้านอาหารแปดแห่งได้รับหนึ่งดาว[51]
ผู้อพยพชาวลาตินอเมริกา โดยเฉพาะผู้อพยพชาวเม็กซิกัน นำตาโก บูร์ริโต เกซาดิยา ตอร์ตา ตามัล และเอนชิลาดามาเสิร์ฟจากรถขายอาหารและแผงขายทั่วไป และร้านกาแฟ รวมถึงร้านอาหารเอเชียซึ่งมีเจ้าของเป็นผู้อพยพจำนวนมากมีให้บริการทั่วเมือง[52] อาหารประจำชาติแท้ ๆ มีพบเห็นทั่วไป เช่น ไก่ทอด และ แฮมเบอร์เกอร์
อาชญากรรม
[แก้]
ใน ค.ศ. 1992 เมืองลอสแอนเจลิสรับรายงานเกี่ยวกับคดีอาชญากรรมกว่า 1,092 คดี ลอสแอนเจลิสเผชิญกับอาชญากรรมลดลงอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1990 และปลายทศวรรษ 2000 และแตะระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปีในปี 2009 โดยมีการฆาตกรรมเหลือ 314 คดี[53] อัตราส่วนคือ 7.85 ต่อประชากร 100,000 คน ซึ่งลดลงอย่างมากจากปี 1980 ที่มีรายงานอัตราการก่ออาชญากรรมในประชากร 34.2 ต่อ 100,000 คน[54] ��ึ่งรวมถึงเหตุกราดยิงที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ 15 ราย เหตุกราดยิงครั้งหนึ่งทำให้แรนดัล ซิมมอนส์ สมาชิกในทีมหน่วย SWAT เสียชีวิต ถือเป็นรายแรกในประวัติศาสตร์ของกรมตำรวจลอสแอนเจลิส[55] ในปี 2556 มีคดีฆาตกรรมรวม 251 คดี ลดลงร้อยละ 16 จากปีก่อนหน้า ตำรวจคาดการณ์ว่าการลดลงนี้เป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ รวมถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์[56] ในปี 2022 การก่ออาชญากรรมพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008 โดยได้รับการรายงานมากถึง 348 คดี[57]
อย่างไรก็ตาม มีการเปิดเผยว่ากรมตำรวจลอสแอนเจลิสรายงานอาชญากรรมต่ำกว่าความเป็นจริงมาเป็นเวลา 8 ปีแล้ว ทำให้อัตราการเกิดอาชญากรรมในเมืองต่ำกว่าความเป็นจริงมาก[58][59]
กีฬา
[แก้]
ลอสแอนเจลีสและเขตเมืองใหญ่เป็นที่ตั้งของทีมกีฬาอาชีพระดับแนวหน้าจำนวน 11 ทีม ซึ่งหลายทีมเล่นในชุมชนใกล้เคียงแต่ใช้ลอสแอนเจลิสในชื่อของพวกเขา ทีมกีฬาที่มีชื่อเสียง เช่น ลอสแอนเจลิสเลเกอส์ (บาสเกตบอล) ลอสแอนเจลิสคลิปเปอส์ (บาสเกตบอล)[60] ลอสแอนเจลิส สปาร์ค (บาสเกตบอลหญิง) ลอสแอนเจลิส ดอดจ์เจอร์ส (เบสบอล) ลอสแอนเจลิส คิงส์ (ฮอกกี้น้ำแข็ง) ลอสแอนเจลิส กาแลกซี (ฟุตบอล)
แม้ว่าลอสแอนเจลิสมีฐานะเป็นเมืองใหญ่อันดับสองในประเทศ แต่เมืองนี้ไม่มีทีมเนชันแนลฟุตบอลลีกตั้งแต่ทศวรรษ 2000 จนถึงปี 2015 ครั้งหนึ่งพื้นที่ลอสแอนเจลิสเป็นที่ตั้งของทีม ลอสแอนเจลิส แรมส์ และ ลาสเวกัส เรดเดอร์ส ทั้งสองทีมได้ย้ายที่ตั้งออกจากเมืองใน ค.ศ. 1995 โดยแรมส์ได้ย้ายไปเซนต์หลุยส์ ในขณะที่เรดเดอร์สย้ายกลับสู่ที่ตั้งเดิมอย่างออคแลนด์ โดยใน ค.ศ. 2016 แรมส์ได้ย้ายกลับมายังลอสแอนเจลิสและลงเล่น ณ สนามเหย้าอย่างโคลิเซียมอนุสรณ์แห่งลอสแอนเจลิส[61] ก่อนปี 1995 แรมส์เล่นเกมในบ้านในโคลีเซียมตั้งแต่ ค.ศ. 1946 ถึง 1979 ซึ่งทำให้พวกเขากลายเป็นทีมกีฬาอาชีพทีมแรกที่เล่นในลอสแอนเจลิส จากนั้นจึงย้ายไปที่สนามกีฬาอนาไฮม์ตั้งแต่ ค.ศ. 1980 ถึง 1994
ลอสแอนเจลิสจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนและพาราลิมปิกฤดูร้อน 2028 ทำให้ลอสแอนเจลิสเป็นเมืองที่สามที่เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสามครั้งต่อจากลอนดอนและปารีส ลอสแอนเจลิสยังเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกจำนวน 8 นัดที่โรสโบว์ลในฟุตบอลโลก 1994 รวมถึงรอบชิงชนะเลิศที่บราซิลชนะลูกโทษอิตาลี สนามแห่งนี้ยังเป็นสนามแข่งขันรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกหญิง 1999 ซึ่งสหรัฐเอาชนะจีนในการดวลลูกโทษและคว้าแชมป์โลกสมัยที่สอง
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Jones, Daniel (2011). Roach, Peter; Setter, Jane; Esling, John, eds. Cambridge English Pronouncing Dictionary (18th ed.). Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-15255-6.
- ↑ "Wayback Machine" (PDF). web.archive.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 25 May 2022. สืบค้นเมื่อ 10 December 2023.
- ↑ Previously, About The Author Cheryl Preston I'm a freelance writer/editor in the Communications Department; Museum, I. was a writer/editor in the Education Department of the Getty (16 July 2013). "Subterranean L.A.: The Urban Oil Fields". Getty Iris (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
{{cite web}}
:|first=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ "Port of New York and New Jersey Remains US' Top Container Port". MarineLink (ภาษาอังกฤษ). 28 December 2022.
- ↑ "Port of NYNJ Beats West Coast Rivals with Highest 2023 Volumes". The Maritime Executive (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "BEA Interactive Data Application". apps.bea.gov.
- ↑ X; Instagram; Email; Facebook (2024-04-12). "Downtown L.A. is hurting. Frank Gehry thinks arts can lead a revival". Los Angeles Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
{{cite web}}
:|last2=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ "News - Smoke is normal - for 1800s - sacbee.com". web.archive.org. 9 July 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 July 2008. สืบค้นเมื่อ 10 December 2023.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ Bright, William (30 November 1998). 1500 California Place Names: Their Origin and Meaning, A Revised Version of 1000 California Place Names by Erwin G. Gudde, Third Edition (ภาษาอังกฤษ). University of California Press. ISBN 978-0-520-21271-8.
- ↑ Sullivan, Ron (7 December 2002). "Roots of native names". SFGATE (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Willard, Charles Dwight (1901). The Herald's History of Los Angeles City (ภาษาอังกฤษ). Kingsley-Barnes & Neuner Company. ISBN 978-0-598-28043-5.
- ↑ "PacificaHistory - Portola Expedition 1769 Diaries". web.archive.org. 13 November 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 November 2015. สืบค้นเมื่อ 10 December 2023.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Settlement of Los Angeles". www.laalmanac.com.
- ↑ Heritage, Autry Museum of Western (2001). Seeking El Dorado: African Americans in California (ภาษาอังกฤษ). University of Washington Press. ISBN 978-0-295-98082-9.
- ↑ Guinn, James Miller (1902). Historical and Biographical Record of Southern California: Containing a History of Southern California from Its Earliest Settlement to the Opening Year of the Twentieth Century (ภาษาอังกฤษ). Chapman Publishing Company.
- ↑ Estrada, William D. (2006). Los Angeles's Olvera Street (ภาษาอังกฤษ). Arcadia Publishing. ISBN 978-0-7385-3105-2.
- ↑ "Pio Pico, Afro Mexican governor of Mexican California | African American Registry". web.archive.org. 2 February 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 February 2017. สืบค้นเมื่อ 10 December 2023.
- ↑ California, WPA Writers' Program of the Work Projects Administration in Southern (5 April 2011). Los Angeles in the 1930s: The WPA Guide to the City of Angels (ภาษาอังกฤษ). University of California Press. ISBN 978-0-520-26883-8.
- ↑ "Mono Lake Case Study". web.archive.org. 2015-01-09. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-09. สืบค้นเมื่อ 10 December 2023.
- ↑ Creason, Glen (25 September 2013). "CityDig: L.A.'s 20th Century Land Grab". LAmag - Culture, Food, Fashion, News & Los Angeles (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Weiss, Marc A (1987). The Rise of the Community Builders: The American Real Estate Industry and Urban Land Planning. New York: Columbia University Press. pp. 80–86. ISBN 978-0-231-06505-4.
- ↑ Buntin, John (6 April 2010). L.A. Noir: The Struggle for the Soul of America's Most Seductive City (ภาษาอังกฤษ). Crown. ISBN 978-0-307-35208-8.
- ↑ Bruegmann, Robert (November 2006). Sprawl: A Compact History (ภาษาอังกฤษ). University of Chicago Press. ISBN 978-0-226-07691-1.
- ↑ Hinton, Elizabeth (2 May 2016). From the War on Poverty to the War on Crime: The Making of Mass Incarceration in America (ภาษาอังกฤษ). Harvard University Press. ISBN 978-0-674-73723-5.
- ↑ Wilson, Stan (25 April 2012). "Riot anniversary tour surveys progress and economic challenges in Los Angeles". CNN (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "The Scandal - Rampart Scandal Timeline | PBS - L.a.p.d. Blues | FRONTLINE | PBS". www.pbs.org.
- ↑ "Secession drive changed San Fernando Valley, Los Angeles". Daily News (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 4 November 2012.
- ↑ Twitter; Instagram; Email; Facebook (16 November 2022). "Karen Bass elected mayor, becoming first woman to lead L.A." Los Angeles Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
{{cite web}}
:|last=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ "Cities That Have Hosted Multiple Summer Olympic Games". WorldAtlas (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 25 April 2017.
- ↑ "Hundred Peaks Section, Angeles Chapter, Sierra Club". hundredpeaks.org.
- ↑ "Google Maps". Google Maps.
- ↑ "Los Angeles, California Travel Weather Averages (Weatherbase)". Weatherbase. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-01-11. สืบค้นเมื่อ 2023-12-10.
- ↑ "Wayback Machine" (PDF). web.archive.org. คลังข้อมูลเก่า��ก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 September 2013. สืบค้นเมื่อ 10 December 2023.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "California Beaches - Find Your Beach, We Have Them All". California Beaches (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Weather2Travel.com. "Los Angeles weather by month: monthly climate averages | California". Weather2Travel.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Burt, Christopher C. (26 June 2007). Extreme Weather: A Guide And Record Book (ภาษาอังกฤษ). W. W. Norton & Company. ISBN 978-0-393-33015-1.
- ↑ "First snowstorm in decades hits Los Angeles". NBC News (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "LA environmental success story: cleaner air, healthier kids". USC Today (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 4 March 2015.
- ↑ "American Lung Association State of the Air 2013 - Most Polluted Cities". web.archive.org. 2015-01-07. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-07. สืบค้นเมื่อ 10 December 2023.
- ↑ "Los Angeles meets 20 percent renewable energy goal - Bloomberg". web.archive.org. 1 February 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 February 2011. สืบค้นเมื่อ 10 December 2023.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ Twitter; Instagram; Email; Facebook (9 November 2013). "EPA officers sickened by fumes at South L.A. oil field". Los Angeles Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
{{cite web}}
:|last=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ Bowerman, Mary. "Los Angeles tops worst cities for traffic in USA". USA TODAY (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Los Angeles, California Population 2023". worldpopulationreview.com.
- ↑ Hayden, Dolores (24 February 1997). The Power of Place: Urban Landscapes as Public History (ภาษาอังกฤษ). MIT Press. ISBN 978-0-262-58152-3.
- ↑ Twitter; Instagram; Email; Facebook (4 September 2002). "Pomp Past, Masses Flock to Cathedral". Los Angeles Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
{{cite web}}
:|last=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ "Los Angeles California Temple | ChurchofJesusChristTemples.org". Temples of The Church of Jesus Christ of Latter-day Saints.
- ↑ "An Overview of Religion in Los Angeles from 1850 to 1930". web.archive.org. 5 September 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 September 2017. สืบค้นเมื่อ 10 December 2023.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ Twitter; Twitter; Instagram; Email; Facebook (29 May 2019). "L.A. agrees to let homeless people keep skid row property — and some in downtown aren't happy". Los Angeles Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
{{cite web}}
:|last=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ "L.A.'s homeless: Aerial tour of Skid Row, epicenter of crisis". ABC7 Los Angeles (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Are many homeless people in L.A. mentally ill? New findings back the public's perception". Los Angeles Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 7 October 2019.
- ↑ "Los Angeles 1 Star MICHELIN Restaurants – the MICHELIN Guide USA". MICHELIN Guide (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Chinatown: The Story of an LA Icon". www.discoverlosangeles.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Los Angeles crime rates hit 50-year lows | null". web.archive.org. 21 July 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 July 2015. สืบค้นเมื่อ 10 December 2023.
- ↑ "Uniform Crime Reports of Los Angeles and Index from 1985 to 2005". www.disastercenter.com.
- ↑ "- official website of THE LOS ANGELES POLICE DEPARTMENT". web.archive.org. 15 June 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 June 2010. สืบค้นเมื่อ 10 December 2023.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "LAPD: City Murder Rate Drops 16 Percent - CBS Los Angeles". www.cbsnews.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2014-01-06.
- ↑ "The Homicide Report". homicide.latimes.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Los Angeles Crime Rates Higher than Originally Reported". Time (ภาษาอังกฤษ). 15 October 2015.
- ↑ Twitter; Instagram; Email; Facebook (6 November 2017). "LAPD captain accuses department of twisting crime statistics to make city seem safer". Los Angeles Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
{{cite web}}
:|last=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ Treat, Jeremy (15 April 2016). "A Mini History of the L.A. Clippers". LAmag - Culture, Food, Fashion, News & Los Angeles (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Rams to Return to Los Angeles". web.archive.org. 2016-01-20. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-01-20. สืบค้นเมื่อ 10 December 2023.