โลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์
ส่วนผสมประกอบด้วย | |
---|---|
Lopinavir | ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส |
Ritonavir | ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส (ตัวเร่งเภสัชจลนศาสตร์) |
ข้อมูลทางคลินิก | |
ชื่อทางการค้า | Kaletra, Aluvia |
AHFS/Drugs.com | โมโนกราฟ |
MedlinePlus | a602015 |
ข้อมูลทะเบียนยา | |
ระดับความเสี่ยงต่อทารกในค��รภ์ | |
ช่องทางการรับยา | ทางปาก |
รหัส ATC | |
กฏหมาย | |
สถานะตามกฏหมาย | |
ตัวบ่งชี้ | |
เลขทะเบียน CAS | |
PubChem CID | |
KEGG | |
NIAID ChemDB | |
7 (what is this?) (verify) | |
โลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ (Lopinavir/ritonavir, LPV/r) มีชื่อทางการค้าว่า Kaletra (และชื่ออื่น ๆ) เป็นยาสูตรผสมที่มีสัดส่วนยาคงที่สำหรับการรักษาและป้องกันเอชไอวี/เอดส์[2] สูตรยารวมโลปินาเวียร์ เข้ากับริโทนาเวียร์ขนาดต่ำ โดยทั่วไปจะแนะนำให้ใช้ร่วมกับยาต้านรีโทรไวรัสอื่น ๆ[2] อาจใช้ยาสำหรับการป้องกัน หลังจากได้รับบาดเจ็บจากเข็มหรือการสัมผัสอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น[2] โดยใช้การรับประทานทางปากซึ่งเป็นยาเม็ด, แคปซูล หรือสารละลาย
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ ท้องเสีย, อาเจียน, อ่อนเพลีย, ปวดศีรษะ และปวดกล้ามเนื้อ ผลข้างเคียงที่รุนแรงอาจรวมถึง ตับอ่อนอักเสบ, ปัญหาที่ตับ และภาวะน้ำตาลในเลือดสูง[2] มีการใช้ทั่วไปในหญิงตั้งครรภ์ และค่อนข้างปลอดภัย[2] ยาทั้งสองชนิดนี้เป็นตัวยับยั้งเอนไซม์ย่อยโปรตีนเอชไอวี ริโทนาเวียร์ทำงานโดย ชะลอการสลายของโลปินาเวียร์
โลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ได้รับอนุมัติให้ใช้ในสหรัฐในปี พ.ศ. 2543[2] และอยู่ในรายชื่อยาสำคัญขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็นยาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุดที่จำเป็นในระบบสุขภาพ[3] ค่าใช้จ่ายในประเทศกำลังพัฒนา (ราคาขายส่ง) คือ 18.96 ถึง 113.52 เหรียญสหรัฐต่อเดือน[4] ในสหรัฐเนื่องจากไม่สามารถจำหน่ายเป็นยาชื่อสามัญ ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า 200 เหรียญสหรัฐต่อเดือน สำหรับกรณีทั่วไปในปี พ.ศ. 2559[5]
การใช้ทางการแพทย์
[แก้]ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 โลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ เป็นส่วนหนึ่งของสูตรผสมที่นิยมใช้สำหรับการบำบัดเอชไอวีในขั้นแรก ที่ได้รับการแนะนำโดยกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์สหรัฐ[6]
ผลข้างเคียง
[แก้]อาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อยที่สุดของยาโลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ที่ตรวจพบคืออาการท้องเสียและคลื่นไส้ ในการทดลองทางคลินิกที่สำคัญพบว่ามีอาการท้องร่วงปานกลางถึงรุนแรงในผู้ป่วยมากถึง 27% และมีอาการคลื่นไส้ปานกลาง ถึงรุนแรงมากถึง 16%[7] ผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่พบบ่อย ได้แก่ ปวดท้อง, อาการอ่อนเพลีย, ปวดหัว, อาเจียน และโดยเฉพาะในเด็กพบผื่นขึ้น[7]
ค่าเอนไซม์ตับที่สูงขึ้นและภาวะสารไขมันสูงในเลือด ทั้งภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง (hypertriglyceridemia) และภาวะคอเลสเตอรอลสูงในเลือด (hypercholesterolemia) ก็มักจะพบในระหว่างกระบวนการรักษาด้วยยาโลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์
โลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ได้รับการคาดว่ามีระดับของปฏิกริยาที่แปรปรวนเมื่อใช้ร่วมกับยาอื่น ๆ ที่เป็นตัวถูกเปลี่ยนของเอนไซม์ CYP3A และ/หรือไกลโคโปรตีน P-gp เช่นกัน[8]
ผู้ที่มีรูปร่างหัวใจผิดปกติ, มีความผิดปกติของระบบการนำไฟฟ้าหัวใจมาก่อน, มีโรคหัวใจขาดเลือด หรือโรคของกล้ามเนื้อหัวใจ ควรใช้ยาโลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ด้วยความระมัดระวัง[9]
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554 องค์การอาหารและยาสหรัฐได้ประกาศเตือนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพร้ายแรง ซึ่งได้รับรายงานในทารกที่คลอดก่อนกำหนดที่ได้รับยาโลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ทางปากในรูปสารละลาย ซึ่งอาจเป็นเพราะมีส่วนประกอบที่มีตัวทำละลายโพรพิลีนไกลคอล พวกเขาแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้ยาในทารกคลอดก่อนกำหนด[10]
ประวัติ
[แก้]แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส (จากการแยกบริษัท ปัจจุบันคือ Abbvie) เป็นหนึ่งในผู้ใช้รายแรก ๆ ของเทคโนโลยี Advanced Photon Source (APS) จากแหล่งกำเนิดแสงการแผ่รังสีซินโครตรอนแห่งชาติที่ Argonne National Laboratory ของสหรัฐ โครงการวิจัยขั้นต้นคือการมุ่งเน้นไปที่การศึกษาโปรตีนจากไวรัสเอชไอวี (HIV) โดยการใช้เส้นลำแสง APS สำหรับการสร้างภาพโครงสร้างผลึกด้วยรังสีเอกซ์ ทำให้นักวิจัยได้ทราบลักษณะของโครงสร้างโปรตีนของไวรัส ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถกำหนดแนวทางในการพัฒนาสารยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอสของไวรัสเอชไอวี ซึ่งเป็นเอนไซม์เป้าหมายที่สำคัญที่ทำหน้าที่ผลิตโพลีโปรตีนเอชไอวีของไวรัสภายหลังการติดเชื้อ อันเป็นกลไกในการสืบต่อวัฏจักรชีวิตของไวรัส ผลจากวิธีการออกแบบยาจากฐานการวิเคราะห์โครงสร้างโดยใช้เทคโนโลยี APS ดังกล่าว แอ๊บบอตสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอสและหยุดการจำลองแบบตัวเองของไวรัสได้[11][12]
โลปินาเวียร์ ได้รับการพัฒนาโดยแอ๊บบอต ในความพยายามของบริษัทที่จะปรับปรุงสารยับยั้งเอนไซม์โปรติเอสก่อนหน้านี้คือ ริโทนาเวียร์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของสารที่มีผลในการจับกับโปรตีนในน้ำเลือด (ลดการแทรกแซงจากซีรั่มบนสารยับยั้งเอนไซม์โปรติเอส) และคุณสมบัติการต้านทานเอชไอวี (ลดการที่ไวรัสจะพัฒนาความต้านทานต่อยา)[12] ในการให้ยาโลปินาเวียร์ชนิดเดียว พบว่ามีการดูดซึมไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับในสารยับยั้งเอนไซม์โปรติเอสของไวรัสเอชไอวีหลาย ๆ ชนิด ปริมาณของยาในกระแสโลหิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการใช้ยาริโทนาเวียร์ในปริมาณต่ำ ซึ่งมีอำนาจในการยับยั้งเอนไซม์ไซโตโครม P450 3A4 ของลำไส้และตับ อันเป็นกลไกลดระดับยาผ่านแคแทบอลิซึม[12] ดังนั้นแอ๊บบอตจึงใช้กลยุทธ์ของการให้ยาโลปินาเวียร์ร่วมกับการใช้ยาริโทนาเวียร์ปริมาณต่ำ ในการรักษายับยั้งเชื้อเอชไอวี
โลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2543[13][14] และจากองค์การยาสหภาพยุโรป (EMA) เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2544[15]
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 ในระหว่างการระบาดของโรคโควิด-19 รัฐบาลอิสราเอลประกาศว่าจะบังคับให้ AbbVie ออกใบอนุญาตให้ใช้สิทธิบัตรสำหรับ โลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ในการตอบสนองทางบริษัท AbbVie ประกาศว่าจะยุติการบังคับใช้สิทธิบัตรในยาโดยสิ้นเชิง[16][17]
สังคมและวัฒนธรรม
[แก้]ราคา
[แก้]ผลที่ตามมาจากราคาที่สูงและการแพร่กระจายของการติดเชื้อเอชไอวี รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการบังคับใช้สิทธิเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2550 เพื่อผลิตและ/หรือนำเข้ายาชื่อสามัญ (generic drug) ของโลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์[18] แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส ได้ถอนการจดทะเบียนยาโลปินาเวียร์ และยาตัวใหม่อื่น ๆ อีกเจ็ดตัวในประเทศไทยโดยอ้างว่ารัฐบาลไทยขาดความเคารพในสิทธิบัตร[19] ทัศนคติของแอ๊บบอตถูกประณามจากองค์การนอกภาครัฐหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงการประท้วงโดยการโจมตีทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ริเริ่มโดยแอคอัพ-ปารีส (Act Up-Paris) และมีการเรียกร้องต่อสาธารณะโดยองค์กรพัฒนาเอกชนของฝรั่งเศส AIDES ให้คว่ำบาตรยาของแอ๊บบอตทั้งหมด[20]
รูปแบบของยา
[แก้]รูปแบบยาเม็ดชนิดทนความร้อนที่สามารถให้รับประทานทางปาก ได้ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับใช้ในเด็ก[21]
การวิจัย
[แก้]ในขณะที่ข้อมูลดูมีประโยชน์สำหรับโรคซาร์ส ที่เกิดจากไวรัส SARS-CoV-1 แต่ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 ประโยชน์สำหรับโรคโควิด-19 นั้นยังไม่ชัดเจน[22] การทดลองแบบสุ่มและไม่อำพรางในปี 2563 พบว่าโลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ไม่เป็นประโยชน์ในการรักษาโรคโควิด-19 ที่มีอากา���รุนแรง[23] ในการทดลองนี้โดยทั่วไปเริ่มให้ยาประมาณ 13 วันหลังจากผู้ป่วยเริ่มมีอาการ[22]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Kaletra Product information". Health Canada. 2019-03-19. สืบค้นเมื่อ 18 March 2020.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 "Lopinavir and Ritonavir". The American Society of Health-System Pharmacists. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 ธันวาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2016.
- ↑ World Health Organization (2019). World Health Organization model list of essential medicines: 21st list 2019. Geneva: World Health Organization. hdl:10665/325771. WHO/MVP/EMP/IAU/2019.06. License: CC BY-NC-SA 3.0 IGO.
- ↑ "Lopinavir + Ritonavir". International Drug Price Indicator Guide. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 มีนาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2016.
- ↑ Tarascon Pharmacopoeia 2016 Professional Desk Reference Edition. Jones & Bartlett Publishers. 2016. p. 67. ISBN 9781284095302.
- ↑ "Adult and Adolescent Guidelines". AIDSinfo. 4 พฤษภาคม 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 พฤษภาคม 2006. สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2006.
- ↑ 7.0 7.1 "Kaletra- lopinavir and ritonavir tablet, film coated Kaletra- lopinavir and ritonavir solution". DailyMed. 26 ธันวาคม 2019. สืบค้นเมื่อ 18 มีนาคม 2020.
- ↑ Zhang L, Zhang Y, Huang SM (19 ตุลาคม 2009). "Scientific and regulatory perspectives on metabolizing enzyme-transporter interplay and its role in drug interactions: challenges in predicting drug interactions". Molecular Pharmaceutics. 6 (6): 1766–74. doi:10.1021/mp900132e. PMID 19839641.
- ↑ "FDA Issues Safety Labeling Changes for Kaletra". Medscape. 10 เมษายน 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 กันยายน 2017. สืบค้นเมื่อ 18 มีนาคม 2020.
- ↑ "Kaletra (lopinavir/ritonavir): Label Change - Serious Health Problems in Premature Babies". Drugs.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 มีนาคม 2011.
- ↑ Foster, Catherine. "Research at Argonne helps Abbott Labs develop anti-HIV drug". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 ตุลาคม 2006. สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2006.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 Sham HL, Kempf DJ, Molla A, Marsh KC, Kumar GN, Chen CM, และคณะ (ธันวาคม 1998). "ABT-378, a highly potent inhibitor of the human immunodeficiency virus protease". Antimicrobial Agents and Chemotherapy. 42 (12): 3218–24. doi:10.1128/AAC.42.12.3218. PMC 106025. PMID 9835517.
- ↑ "Drug Approval Package: Kaletra (Lopinavir/Ritonavir) NDA #21-226 & 21-251". U.S. Food and Drug Administration (FDA). 20 พฤศจิกายน 2001. สืบค้นเมื่อ 18 มีนาคม 2020.
- ↑ "Generic Kaletra Availability". Drugs.com. สืบค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2020.
- ↑ "Kaletra EPAR". European Medicines Agency (EMA). สืบค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2020.
- ↑ "Inoculating the world may mean reviving old curbs on patents". Pittsburgh Post-Gazette. Bloomberg. 14 เมษายน 2020. สืบค้นเมื่อ 16 เมษายน 2020.
- ↑ Scheer, Steven (19 มีนาคม 2020). "Israel approves generic HIV drug to treat COVID-19 despite doubts". Reuters. สืบค้นเมื่อ 16 เมษายน 2020.
- ↑ "Decree of Department of Disease Control, Ministry of Public Health, regarding exploitation of patent on drugs & medical supplies by the government on combination drug between lopinavir & ritonavir" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 17 กรกฎาคม 2011.
- ↑ "Abbott pulls HIV drug in Thai patents protest". Financial Times. 14 มีนาคม 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 พฤษภาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 3 มิถุนายน 2020.
- ↑ "People Living with HIV: Let's change the rules imposed by the pharmaceutical industry!" (PDF). 1 กรกฎาคม 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 20 ตุลาคม 2007.
- ↑ Pasipanodya B, Kuwengwa R, Prust ML, Stewart B, Chakanyuka C, Murimwa T, และคณะ (ธันวาคม 2018). "Assessing the adoption of lopinavir/ritonavir oral pellets for HIV-positive children in Zimbabwe". Journal of the International AIDS Society. 21 (12): e25214. doi:10.1002/jia2.25214. PMC 6293134. PMID 30549217.
- ↑ 22.0 22.1 McCreary, Erin K; Pogue, Jason M (23 มีนาคม 2020). "COVID-19 Treatment: A Review of Early and Emerging Options". Open Forum Infectious Diseases. doi:10.1093/ofid/ofaa105.
- ↑ Cao B, Wang Y, Wen D, Liu W, Wang J, Fan G, และคณะ (มีนาคม 2020). "A Trial of Lopinavir-Ritonavir in Adults Hospitalized with Severe Covid-19". New England Journal of Medicine. doi:10.1056/NEJMoa2001282. PMID 32187464.
This randomized trial found that lopinavir–ritonavir treatment added to standard supportive care was not associated with clinical improvement or mortality in seriously ill patients with Covid-19 different from that associated with standard care alone.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- "Lopinavir mixture with ritonavir". Drug Information Portal. U.S. National Library of Medicine.
- "Fact sheet on lopinavir and ritonavir (Lpv/R) oral pellets". องค์การอนามัยโลก (WHO). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 November 2015.