ข้ามไปเนื้อหา

โรโซ

พิกัด: 15°18′05″N 61°23′18″W / 15.30139°N 61.38833°W / 15.30139; -61.38833
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โรโซ
บน: เส้นขอบฟ้าโรโซ กลาง: มหาวิหารโรโซและพิพิธภัณฑ์ ล่าง: อาคารรัฐสภาและสวนพฤกษศาสตร์
สมญา: 
เมือง
โรโซตั้งอยู่ในประเทศดอมินีกา
โรโซ
โรโซ
ที่ตั้งโรโซในประเทศดอมินีกา
พิกัด: 15°18′05″N 61°23′18″W / 15.301389°N 61.388333°W / 15.301389; -61.388333
ประเทศ ดอมินีกา
เขตเซนต์จอร์จ
การปกครอง
 • ประเภทรัฐบาลท้องถิ่น: สภาเมืองโรโซ (ก่อตั้งขึ้นในทศวรรษ 1890)
ความสูง141 ฟุต (43 เมตร)
ประชากร
 (2011)[1]
 • ทั้งหมด14,725 คน
เขตเวลาUTC–4 (เขตเวลาแอตแลนติก)
รหัสพื้นที่+1 767

โรโซ (อังกฤษ: Roseau) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของดอมินีกา มีประชากร 14,725 คนใน ค.ศ. 2011[1] เป็นเมืองที่มีการผสมผสานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่กับสถาปัตยกรรมอาณานิคม (แบบฝรั่งเศส) เป็นเมืองท่าทางทะเลในหมู่เกาะเวสต์อินดีส มีการส่งออกกล้วย ผัก ส้ม ผลไม้จำพวกส้ม และโกโก้

ประวัติศาสตร์

[แก้]
ภาพถ่ายทางอากาศของโรโซ

เมืองโรโซตั้งอยู่บนตะกอนน้ำพารูปพัดซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อนในขณะที่แม่น้ำโรโซไหลคดเคี้ยวผ่านพื้นที่จากบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่านิวทาวน์ไปยังที่ตั้งปัจจุบัน ในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา ชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกาที่อพยพผ่านหมู่เกาะได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ เมื่อชาวยุโรปมาถึงในศตวรรษที่ 16 และ 17 ชาวฝรั่งเศสจึงได้ก่อตั้งชุมชนเล็ก ๆ ขึ้น โดยใช้ชื่อของตนเรียกสถานที่ตามสิ่งที่พบที่นั่น และตั้งชื่อตามต้นกกที่ขึ้นอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำ ชุมชนแห่งนี้จึงถูกสร้างขึ้นตามตัวอย่างในฝรั่งเศสที่ถนนทอดยาวจากจุดศูนย์กลาง ซึ่งปัจจุบันคือตลาดเก่า และขยายออกไปยังส่วนที่เหลือของชุมชน

เกิดความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษเกี่ยวกับพื้นที่ดังกล่าวหลายครั้ง ในปี 1699 ฝรั่งเศสได้สร้างป้อมปราการเพื่อปกป้องโรโซ ต่อมาในปี 1770 อังกฤษได้สร้างป้อมปราการ Young ขึ้นแทนที่ป้อมปราการเดิม[2][3] ในปี 1778 ฝรั่งเศสได้เข้ารุกรานดอมินีกา ยึดป้อมปราการ Young และโรโซ และสามารถเข้ายึดครองเกาะได้สำเร็จ[4] ในปี 1784 ดอมินีกาถูกคืนให้แก่อังกฤษภายใต้สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1783)[4]

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 อังกฤษได้วางแผนสำหรับเมืองนี้รวมถึงป้อมปราการและโครงสร้างของรัฐบาล ระบบถนนกริดและบล็อก และพื้นที่เขตเมืองใหม่ทางทิศเหนือและทิศใต้ ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า Potter's Ville และ Newtown Goodwill ก่อตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษ 1950 และ Bath Estate ก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ตั้งแต่นั้นมา ชุมชนกึ่งเมืองใหม่หลายแห่ง เช่น Stock Farm, Castle Comfort และ Wall House ก็ถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ ชุมชนที่มีอยู่เดิม ชุมชนเก่าบางแห่ง เช่น Fond Cole และ Canefield ในปัจจุบันจัดอยู่ในเขตพื้นที่กึ่งเมืองรอบโรโซ

อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของฝรั่งเศสยังคงปรากฏให้เห็นในปัจจุบันจากสถาป��ตยกรรมและถนนคดเคี้ยวที่ทอดยาวจาก Old Market Plaza ตัวอย่างอิทธิพลของอังกฤษนั้นเห็นได้ชัดจากสถาปัตยกรรมและชื่อถนน[5]

ภูมิอากาศ

[แก้]

ภูมิอากาศของโรโซเป็นภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อนซึ่งมีอุณหภูมิค่อนข้างคงที่ตลอดทั้งปี โดยมีอุณหภูมิสูงโดยเฉลี่ยโดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 28 และ 31 °C (82.4 และ 87.8 °F) และอุณหภูมิต่ำเฉลี่ยระหว่าง 19 และ 23 °C (66.2 และ 73.4 °F) ปริมาณน้ำฝนเป็นปกติตลอดทั้งปี โดยเมืองนี้มีค่าเฉลี่ยรายปีเกือบ 1,800 มิลลิเมตรหรือ 70 นิ้ว โรโซมีลักษณะที่แห้งแล้งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน แม้ว่าแต่ละเดือนโดยเฉลี่ยจะมีฝนตกอย่างน้อย 45 มิลลิเมตรหรือ 1.8 นิ้ว โดยด้านล่างนี้จะเป็นข้อมูลภูมิอากาศของโรโซ บริเวณท่าอากาศยานเคนฟีลด์ ค.ศ. 1982 – 2011

ข้อมูลภูมิอากาศของโรโซ (ท่าอากาศยานเคนฟีลด์) ค.ศ. 1982 – 2011
เดือน ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ทั้งปี
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F) 33
(91)
34
(93)
36
(97)
36
(97)
36
(97)
36
(97)
35
(95)
35
(95)
36.3
(97.3)
37
(99)
35
(95)
34
(93)
37
(99)
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) 29.5
(85.1)
29.5
(85.1)
30.1
(86.2)
30.9
(87.6)
31.8
(89.2)
31.8
(89.2)
31.5
(88.7)
31.8
(89.2)
31.7
(89.1)
31.5
(88.7)
31.1
(88)
30.2
(86.4)
30.95
(87.71)
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) 25.7
(78.3)
25.6
(78.1)
26.1
(79)
26.9
(80.4)
27.8
(82)
28.1
(82.6)
28.0
(82.4)
28.0
(82.4)
27.9
(82.2)
27.6
(81.7)
27.1
(80.8)
26.2
(79.2)
27.08
(80.75)
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) 21.8
(71.2)
21.6
(70.9)
22.0
(71.6)
22.9
(73.2)
23.9
(75)
24.5
(76.1)
24.5
(76.1)
24.2
(75.6)
23.9
(75)
23.7
(74.7)
23.2
(73.8)
22.3
(72.1)
23.21
(73.78)
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F) 16
(61)
17
(63)
17
(63)
18
(64)
19
(66)
20
(68)
21
(70)
21
(70)
20
(68)
18
(64)
18
(64)
17
(63)
16
(61)
ปริมาณฝน มม (นิ้ว) 108.3
(4.264)
62.1
(2.445)
49.0
(1.929)
54.8
(2.157)
92.0
(3.622)
159.5
(6.28)
251.4
(9.898)
244.3
(9.618)
253.7
(9.988)
188.2
(7.409)
194.2
(7.646)
102.2
(4.024)
1,759.7
(69.28)
ความชื้นร้อยละ 71 68 65 64 64 67 72 73 71 73 74 72 70
จำนวนชั่วโมงที่มีแดด 198.9 200.6 227.3 244.9 243.2 227.7 231.2 240.4 212.2 219.5 194.0 189.5 2,629.4
แหล่งที่มา 1: Dominica Meteorological Services[6]
แหล่งที่มา 2: NOAA (sun 1961–1990),[7] BBC Weather[8]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 "2011 Population and Housing Census – preliminary results" (PDF). Central Statistical Office (Dominica). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-10-25. สืบค้นเมื่อ 24 October 2017. {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help)
  2. About Dominica: Nature Island of the Caribbean : a Detailed Tourism-oriented Guide to Dominica (ภาษาอังกฤษ). Voice Publishing Company. 1981. p. 4.
  3. Gravette, Andrew Gerald (2000). Architectural heritage of the Caribbean: an A-Z of historic buildings. Signal Books. p. 168. ISBN 978-1-902669-09-0. สืบค้นเมื่อ 22 June 2011.
  4. 4.0 4.1 Boromé, Joseph A. (1969). "Dominica during French Occupation, 1778-1784". The English Historical Review. 84 (330): 36–58. doi:10.1093/ehr/LXXXIV.CCCXXX.36. ISSN 0013-8266. JSTOR 562321.
  5. Niko Lipsanen, Naturalistic and existential realms of place in Roseau, Dominica. University of Helsinki, Department of Geography 2001.
  6. "CLIMATOLOGY FOR CANEFIELD AIRPORT (1982-2011)" (PDF). Dominica Meteorological Services. December 2012. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 22 December 2020. สืบค้นเมื่อ 22 December 2020.
  7. "Climate Normals for Melville Hall Airport 1961–1990". National Oceanic and Atmospheric Administration. สืบค้นเมื่อ 28 February 2013.
  8. "Average Conditions Roseau, Dominica". BBC Weather. สืบค้นเมื่อ 28 February 2013.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
  • วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ Roseau

15°18′05″N 61°23′18″W / 15.30139°N 61.38833°W / 15.30139; -61.38833