มหาสมุทรแปซิฟิก
มหาสมุทรแปซิฟิก | |
---|---|
ภูมิศาสตร์ของมหาสมุทรแปซิฟิก | |
พิกัด | 0°N 160°W / 0°N 160°W |
พื้นที่พื้นน้ำ | 165,000,000 ตารางกิโลเมตร (64,000,000 ตารางไมล์) |
ความลึกโดยเฉลี่ย | 4,280 เมตร (14,040 ฟุต) |
ความลึกสูงสุด | 10,911 เมตร (35,797 ฟุต) |
ปริมาณน้ำ | 710,000,000 km³ (170,000,000 cu mi) |
มหาสมุทรในโลก |
---|
มหาสมุทรแปซิฟิก (อังกฤษ: Pacific Ocean) เป็นมหาสมุทรที่ใหญ่และลึกที่สุดในโลก มีอาณาเขตติดกับมหาสมุทรอาร์กติกทางตอนเหนือและจรดทวีปแอนตาร์กติกาทางตอนใต้ ติดกับทวีปเอเชียและทวีปออสเตรเลียทางทิศตะวันตก ติดทวีปอเมริกาทางทิศตะวันออก
มหาสมุทรนี้มีพื้นที่กว่า 165,250,000 ตารางกิโลเมตรจึงกลายเป็นมหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลกครบคลุมพื้นที่ผิวโลกทั้งหมด 32% และคิดเป็น 46% ของพื้นผิวน้ำบนโลก นอกจากนี้มหาสมุทรแปซิฟิกยังมีขนาดมากกว่าพื้นดินทั้งหมดบนโลก (148,000,000 ตารางกิโลเมตร) รวมกันอีกด้วย[1] จุดศูนย์กลางของซีกโลกแห่งน้ำและซีกโลกตะวันตกล้วนอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก กระแสน้ำในมหาสมุทร (ที่เป็นผลจากแรงคอริออลิส) ถูกแบ่งออกเป็นส่วนส่วนซึ่งจะมาพบกันใกล้บริเวณเส้นศูนย์สูตร ทั้งนี้หมู่เกาะกาลาปาโกส หมู่เกาะกิลเบิร์ต และหมู่เกาะอื่น ๆ ที่คร่อมเส้นศูนย์สูตรทั้งหมดถือว่าอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้[2]
มหาสมุทรแปซิฟิกมีความลึกเฉลี่ยที่ 4,000 เมตร[3] มีจุดที่ลึกที่สุดคือแชลเลนเจอร์ดีปในร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาโดยมีสถิติอยู่ที่ 10,928 เมตร[4] นอกจากนี้ยังมีจุดที่ลึกที่สุดในแปซิฟิกใต้อย่างฮอไรซันดีปในร่องลึกตองงาที่มีสถิติความลึกอยู่ที่ 10,882 เมตร[5] ส่วนจุดที่ลึกที่สุดในโลกเป็นอันดับสามก็ยังคงอยู่ในร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา
เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน เป็นแรกที่ตั้งชื่อให้ว่า Mare Pacificum เป็นภาษาละติน แปลว่า peaceful sea ภาษาฝรั่งเศส pacifique (ปาซีฟีก) หมายถึง "สงบสุข" มหาสมุทรแปซิฟิกมีความเค็มประมาณ 33-37 ส่วนต่อพ��นส่วน กระแสน้ำที่สำคัญของมหาสมุทรแปซิฟิก คือ กระแสน้ำเย็นฮัมโบลต์ (เปรู) กระแสน้ำอุ่นศูนย์สูตร กระแสน้ำเย็นแคลิฟอร์เนีย กระแสน้ำอุ่นอะแลสกา และกระแสน้ำอุ่นคูโรชิโอะ (กุโรชิโว)
มหาสมุทรแปซิฟิกมีเกาะอยู่ประมาณ 25,000 เกาะ (มากกว่าเกาะในมหาสมุทรอื่น ๆ ที่เหลือรวมกัน) ส่วนใหญ่อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตร (แปซิฟิกใต้)
ริมมหาสมุทรประกอบด้วยทะเลจำนวนมาก ที่สำคัญ คือ ทะเลเซเลบีส ทะเลคอรัล ทะเลจีนตะวันออก ทะเลญี่ปุ่น ทะเลจีนใต้ ทะเลซูลู ทะเลแทสมัน และทะเลเหลือง ทางด้านตะวันตก ช่องแคบมะละกาเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย ส่วนทางด้านตะวันออก ช่องแคบมาเจลลันเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับ มหาสมุทรแอตแลนติก
นิรุกติศาสตร์
[แก้]ถึงแม้ว่าชาวเอเชียและชาวโอเชียเนียจะมีการเดินทางโยกย้ายผ่านมหาสมุทรแปซิฟิกมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ แต่ว่าครั้งแรกที่ชาวยุโรปค้นพบคือช่วงต้นศตวรรษที่ 16 เมื่อนักสำรวจชาวสเปนบัสโก นูเญซ เด บัลโบอาข้ามคอคอดปานามาในปี 1513 และค้นพบ "ทะเลใต้" ที่กว้างใหญ่ซึ่งเขาตั้งชื่อว่า Mar del Sur (ในภาษาสเปน) แต่ว่าชื่อแปซิฟิกนั้นมาจากเฟอร์ดินานด์ มาเจลลันที่ตั้งชื่อให้ว่า Mare Pacificum เมื่อเดินทางมาเจอกับทะเลที่สงบระหว่างเดินทางรอบโลกในปี ค.ศ. 1521[6]
ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรแปซิฟิก
[แก้]ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรแปซิฟิก:[7][8]
- Australasian Mediterranean Sea – 9.080 ล้าน กม.2
- ทะเลฟิลิปปิน - 5.695 ล้าน กม.2
- ทะเลคอรัล – 4.791 ล้าน กม.2
- ทะเลจีนใต้ – 3.5 ล้าน กม.2
- ทะเลแทสมัน – 2.3 ล้าน กม.2
- ทะเลเบริง – 2 ล้าน กม.2
- ทะเลโอค็อตสค์ – 1.583 ล้าน กม.2
- อ่าวอะแลสกา – 1.533 ล้าน กม.2
- ทะเลจีนตะวันออก – 1.249 ล้าน กม.2
- ทะเลมาเดกราว – 1.14 ล้าน กม.2
- ทะเลญี่ปุ่น – 978,000 กม.2
- ทะเลโซโลมอน – 720,000 กม.2
- ทะเลบันดา – 695,000 กม.2
- ทะเลอาราฟูรา – 650,000 กม.2
- ทะเลติมอร์ – 610,000 กม.2
- ทะเลเหลือง – 380,000 กม.2
- ทะเลชวา – 320,000 กม.2
- อ่าวไทย – 320,000 กม.2
- อ่าวคาร์เพนแทเรีย – 300,000 กม.2
- ทะเลเซเลบีส – 280,000 กม.2
- ทะเลซูลู – 260,000 กม.2
- อ่าวอะนาดีร์ – 200,000 กม.2
- ทะเลโมลุกกะ – 200,000 กม.2
- อ่าวแคลิฟอร์เนีย – 160,000 กม.2
- อ่าวตังเกี๋ย – 126,250 กม.2
- ทะเลฮัลมาเฮรา – 95,000 กม.2
- ทะเลปั๋วไห่ – 78,000 กม.2
- ทะเลบาหลี – 45,000 กม.2
- ทะเลบิสมาร์ก – 40,000 กม.2
- ทะเลซาวู - 35,000 กม.2
- ทะเลในเซโตะ – 23,203 กม.2
- ทะเลเซรัม – 12,000 กม.2
ประวัติศาสตร์
[แก้]การอพยพยุคก่อนประวัติศาสตร์
[แก้]การอพยพที่สำคัญในมหาสมุทรแปซิฟิกยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวออสโตรนีเซียนบนเกาะไตหวันที่เชี่ยวชาญการเดินทางไกลด้วยเรือแคนูได้เดินทางพร้อมเผยแพร่ภาษาและวัฒนธรรมไปยังฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและเกาะแก่งต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการแยกกันไปทางตะวันตกสู่มาดากัสการ์ ไปทางตะวันออกเฉียงใต้สู่เกาะนิวกินีและเมลานีเซีย (ผสมกับชาวปาปัวพื้นเมือง) และทางตะวันออกไปยังหมู่เกาะไมโครนีเซีย โอเชียเนียและโพลินีเซีย[9]
การค้าขายทางไกลได้พัฒนาตลอดแนวชายฝั่งตั้งแต่โมซัมบิกไปจนถึงญี่ปุ่น การค้าและความรู้จึงขยายไปยังหมู่เกาะอินโดนีเซีย แต่ดูเหมือนไม่ใช่ในออสเตรเลีย ในปี 219 ก่อนคริสตกาล ชู ฟูล่องเรือไปในมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อค้นหายาอายุวัฒนะแห่งความเป็นอมตะ อย่างน้อยที่สุดใน ค.ศ. 878 เมื่อชาวมุสลิมตั้งถิ่นฐานในแคนตันการค้าส่วนใหญ่จึงถูกควบคุมโดยชาวอาหรับและชาวมุสลิม ตั้งแต่ ค.ศ. 1404 ถึง ค.ศ. 1433 เจิ้งเหอได้นำการเดินทางสู่มหาสมุทรอินเดีย
การสำรวจโดยชาวยุโรป
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ลัทธิจักรวรรดินิยมใหม่
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ภูมิศาสตร์
[แก้]มหาสมุทรแปซิฟิกแยกทวีปเอเชีย ทวีปออสเตรเลียและทวีปอเมริกาออกจากกัน เส้นศูนย์สูตรเป็นเส้นที่แบ่งมหาสมุทรแปซิฟิกออกเป็นแปซิฟิกเหนือและแปซิฟิกใต้ ทางเหนือติดภูมิภาคอาร์กติกส่วนทางใต้ติดแอนตาร์กติกา[1] มหาสมุทรแปซิฟิกครอบคลุมพื้นที่ถึง 1 ใน 3 ของพื้นผิวโลกและมีพื้นที่ 165,200,000 ตารางกิโลเมตรซึ่งใหญ่กว่าแผ่นดินทั้งหมดของโลก[10]
มหาสมุทรแปซิฟิกทอดตัวยาวลงมาตั้งแต่ทะเลแบริ่งในแถบอาร์กติกไปจนถึงเส้นขนานที่ 60 องศาใต้ซึ่งเป็นตอนเหนือของมหาสมุทรใต้ (ในอดีตมีพื้นที่ถึงทะเลรอสส์ในแอนตาร์กติกา) จุดที่มหาสมุทรแปซิฟิกมีขนาดแผ่นดินใหญ่ห่างกันที่สุดอยู่ที่เส้นขนานที่ 5 องศาเหนือโดยทอดยาวเป็นระยะทางครึ่งโลกหรือประมาณ 19,800 กิโลเมตรจากอินโดนีเซียไปยังชายฝั่งของโคลอมเบีย ซึ่งความยาวนี้ยาวกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางดวงจันทร์ถึง 5 เท่า[11] จุดที่ลึกที่สุดคือร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาวัดได้ 10,911 เมตรใต้ระดับน้ำ ความลึกเฉลี่ยของแปซิฟิกคือ 4,280 เมตร มีปริมาณน้ำทั้งหมด 710,000,000 ลูกบาศก์กิโลเมตร[1]
จากผลกระทบของการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาคทำให้แปซิฟิกหดตัวลงประมาณ 2.5 เซนติเมตรต่อปี วัดจากทั้งสามด้านโดยเฉลี่ยประมาณ 0.52 กิโลเมตรต่อปีซึ่งตรงกันข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่ขยายใหญ่ขึ้น[12][13]
ทางตะวันตกติดกับทะเลใหญ่ ๆ มากมายเช่นทะเลเซเลบีส ทะเลคอรัล ทะเลจีนตะวันออก ทะเลฟิลิปปิน ทะเลญี่ปุ่น ทะเลจีนใต้ ทะเลซูลู ทะเลแทสมันและทะเลเหลือง แปซิฟิกติดกับมหาสมุทรอินเดียบริเวณช่องแคบมะละกาและแหลมทอเรส ติดแอตแลนติกบริเวณช่องแคบมาเจลลันและติดกับทะเลอาร์กติกบริเวณช่องแคบแบริ่ง[14]
เส้นเมริเดียนที่ 180 องศาแบ่งแปซิฟิกเป็นสองฝั่งแปซิฟิกตะวันตก (หรือแปซิฟิกใกล้เอเชีย) อยู่ในซีกโลกตะวันออกในขณะที่แปซิฟิกตะวันออก (หรือแปซิฟิกใกล้อเมริกา) อยู่ในซีกโลกตะวันตก[15]
ระหว่างการเดินทางของเฟอร์ดินานด์ มาเจลลันจากช่องแคบมาเจลลันมาฟิลิปปินส์เขาพบว่ามหาสมุทรนี้ค่อนข้างสงบ แต่ก็ไม่ได้สงบทุกที่เพราะมีพายุโซนร้อนจำนวนมากพัดปะทะหมู่เกาะและชายฝั่งของแปซิฟิก[16] บริเวณรอบชายฝั่งแปซิฟิกเต็มไปด้วยภูเขาไฟและมักได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว[17] สึนามิที่เกิดจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลได้พัดทำลายหมู่เกาะและเมืองเป็นจำนวนมาก[18]
พ.ศ. 2050 แผนที่ของมาติน วอดซีมึลเลอร์เป็นแผนที่แรกที่มีทวีปอเมริกาคั่นกลางระหว่างแปซิฟิกและแอตแลนติก[19] ต่อมาแผนที่ของดิโก ริเบย์โร พ.ศ. 2072 เป็นแผนที่แรกที่แสดงขนาดมหาสมุทรที่สมจริงขึ้น[20]
ประเทศและดินแดนที่ติด
[แก้]ประเทศอธิปไตย
[แก้]- ออสเตรเลีย
- บรูไน
- กัมพูชา
- แคนาดา
- ชิลี
- จีน1
- โคลอมเบีย
- คอสตาริกา
- เอกวาดอร์
- เอลซัลวาดอร์
- ไมโครนีเชีย
- ฟีจี
- กัวเตมาลา
- ฮอนดูรัส
- อินโดนีเซีย
- ญี่ปุ่น
- คิริบาส
- เกาหลีเหนือ
- เกาหลีใต้
- มาเลเซีย
- หมู่เกาะมาร์แชลล์
- เม็กซิโก
- นาอูรู
- นิการากัว
- นิวซีแลนด์
- ปาเลา
- ปานามา
- ปาปัวนิวกินี
- ��ปรู
- ฟิลิปปินส์
- รัสเซีย
- ซามัว
- สิงคโปร์
- หมู่เกาะโซโลมอน
- ไต้หวัน1
- ไทย
- ติมอร์-เลสเต
- ตองงา
- ตูวาลู
- สหรัฐอเมริกา
- วานูวาตู
- เวียดนาม
1 สถานะของไต้หวันและจีนยังมีความขัดแย้งกันอยู่
ดินแดน
[แก้]- อเมริกันซามัว
- เกาะเบเกอร์
- หมู่เกาะคุก (New Zealand)
- หมู่เกาะคอรัลซี
- เกาะอีสเตอร์
- เฟรนช์พอลินีเชีย
- กวม
- ฮ่องกง
- เกาะฮาวแลนด์
- เกาะจาร์วิส
- จอห์นสตันอะทอลล์
- คิงแมนรีฟ
- มาเก๊า
- มิดเวย์อะทอลล์
- นิวแคลิโดเนีย
- นีวเว
- เกาะนอร์ฟอล์ก
- หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา
- แพลไมราอะทอลล์
- หมู่เกาะพิตแคร์น
- โตเกเลา
- วอลิสและฟูตูนา
- เกาะเวก
แผ่นดินและเกาะ
[แก้]แปซิฟิกเป็นมหาสมุทรที่มีเกาะมากที่สุดในโลก มีการประมาณว่ามีเกาะทั้งหมด 25,000 เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก[21][22][23] เกาะในแปซิฟิกจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ คือไมโครนีเซีย เมลานีเซียและโปลินีเซีย
ไมโครนีเซียเป็นกลุ่มเกาะที่อยู่ทางเหนือของเส้นศูนย์สูตรและทางตะวันตกของเส้นแบ่งเขตวันสากล กลุ่มเกาะประกอบด้วยเกาะมาเรียนาทางตะวันตกเฉียงเหนือ เกาะคาโรไลน์ตรงกลาง หมู่เกาะมาร์แชลล์ทางทิศตะวันตกและหมู่เกาะของคิริบาสในตะวันออกเฉียงใต้[24][25]
เมลานีเซียอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประกอบด้วยเกาะนิวกินีซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากกรีนแลนด์และเป็นเกาะใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะแปซิฟิก และยังมีกลุ่มเกาะบิสมาร์ก หมู่เกาะโซโลมอน หมู่เกาะซานตาครูซ วานูอาตู ฟีจีและนิวแคลิโดเนีย[26]
โปลินีเซียเป็นพื้นที่ ๆ ใหญ่ที่สุดซึ่งนับตั้งแต่หมู่เกาะฮาวายทางเหนือไปจนถึงนิวซีแลนด์ทางใต้และยังรวมตูวาลู โตเกเลา ซามัว ตองงาและหมู่เกาะเคอร์ดเด็คทางตะวันตก ตรงกลางมีหมู่เกาะคุก หมู่เกาะโซไซเอตีและหมู่เกาะออสแตส ทางตะวันออกมีหมู่เกาะมาร์เคซัส ตูอาโมตัส หมู่เกาะแกมบีเออรืและเกาะอีสเตอร์[27]
หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกมีสี่ประเภทคือเกาะริมทวีป เกาะสูง พืดหินปะการังและเกาะต่ำ เกาะริมทวีปเช่นกาะนิวกินี เกาะของนิวซีแลนด์และฟิลิปปินส์เกาะเหล่านี้จะมีพื้นที่ใต้น้ำบางส่วนเชือมต่อกับทวีปใกล้เคียง เกาะสูงจะเป็นเกาะที่เกิดจากภูเขาไฟเช่นหมู่เกาะฮาวายและหมู่เกาะโซโลมอน[28]
พืดหินปะการังของแปซิฟิกมีโครงสร้างที่ต่ำซึ่งสร้างบนบะซอลต์ไหลใต้ทะเล หนึ่งในพืดหินปะการังที่น่าสนใจคือเกรตแบร์ริเออร์รีฟทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย เกาะต่ำเกิดมาจากปะการัง โดยอาจจะเกิดขึ้นเกิดจากการตกตะกอนหรือการยกตัวและทับทมของพืดหินปะการังเช่น เกาะบานาบาและเกาะมากาเตในตูอาโมตัสของเฟรนช์พอลินีเชีย[29][30]
-
พระอาทิตยืขึ้นเหนือเส้นของฟ้าของแปซิฟิก
-
แหลมในแคลิฟอร์เนีย
-
เกาะเล็กแห่งหนึ่งของเฟรนช์พอลินีเชีย
-
ชายฝั่งทางใต้ของชิลี
น้ำทะเล
[แก้]แปซิฟิกมีน้ำทะเลประมาณ 714 ล้านลูกบาศก์กิโลเมตรคิดเป็น 50.1% ของน้ำทะเลทั่วโลก[31] อุณหภูมิผิวน้ำมีอุณหภูมิที่แตกต่างกันตามพื้นที่เช่นบริเวณขั้วโลกอาจเย็นถึง -1.4 องศาเซลเซียส ในขณะที่บริเวณเส้นศูนย์สูตรอาจสูงถึง 30 องศา[32] ความเค็มของแปซิฟิกเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละเส้นขนานโดยความเค็มสูงคือ 37 ส่วนต่อพันในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณเส้นศูนย์สูตรซึ่งความเค็มต่ำกว่า 34 ส่วนต่อพัน ส่วนเค็มสุดจะอยู่ทางเหนือเพราะมีอากาศหนาวเย็นทำให้มีการระเหยของน้ำน้อย[33] น้ำในแปซิฟิกเหนือจะไหลตามเข็มนาฬิกา ส่วนแปซิฟิกใต้จะไหลทวนเข็มนาฬิกา กระแสน้ำศูนย์สูตรเหนือจะไหลไปทางตะวันตกตามเส้นขนานที่ 15 องศาเหนือด้วยลมค้า และไหลขึ้นทิศเหนือบริเวณฟิลิปปินส์และกลางเป็นกระแสน้ำญี่ปุ่น[34] จากนั้นกระแสน้ำญี่ปุ่นจะไหลไปทางตะวันออกตามเส้นขนานที่ 45 องศาเหนือและกลายเป็นกระแสน้ำอะลูเชียน จากนั้นก็ไหลลงทิศใต้กลับกลายเป็นกระแสน้ำศูนย์สูตรเหนือตามเดิม[35]
สาขาเหนือของกระแสน้ำอะลูเชียนเมือเข้าใกล้ทวีปอเมริกาเหนือจะไหลหมุนทวนเข็มนาฬิกาในทะเลแบริ่ง ส่วนสาขาใต้จะกลายเป็นกระแสน้ำแคลิฟอร์เนียที่ไหลช้าและค่อนข้างเย็น[36] กระแสน้ำศูนย์สูตรใต้ไหลไปทางตะวันตกตามแนวศูนย์สูตรและเริ่มหันไปทางตะวันออกเฉียงใต้บริเวณเกาะนิวกินี และหันไปทางตะวันออกตามเส้นขนานที่ 50 องศาใต้และไหลกลับเป็นกระแสน้ำศูนย์สูตรใต้ตามเดิม กระแสน้ำเย็นขั้วโลกแอนตาร์กติกาเมื่อถึงชายฝั่งชิลีมีสาขาหนึ่งไหล���ปรอบแหลมฮอร์น ส่วนอีกสาขาไหลไปเป็นกระแสน้ำฮุมโบลดท์[37]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 "Pacific Ocean". Britannica Concise. 2008: Encyclopædia Britannica, Inc.
- ↑ International Hydrographic Organization (1953). "Limits of Oceans and Seas" (PDF). Nature (3rd ed.). 172 (4376): 484. Bibcode:1953Natur.172R.484.. doi:10.1038/172484b0. S2CID 36029611. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 8 October 2011. สืบค้นเมื่อ 28 December 2020.
- ↑ Administration, US Department of Commerce, National Oceanic and Atmospheric. "How big is the Pacific Ocean?". oceanexplorer.noaa.gov (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 18 October 2018.
- ↑ "Deepest Submarine Dive in History, Five Deeps Expedition Conquers Challenger Deep" (PDF).
- ↑ "CONFIRMED: Horizon Deep Second Deepest Point on the Planet" (PDF).
- ↑ "Catholic Encyclopedia : Ferdinand Magellan". Newadvent.org. 2006 [1910]. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 มกราคม 2007. สืบค้นเมื่อ 31 ตุลาคม 2010.
- ↑ Remy Melina (5 มิถุนายน 2010). "The World's Biggest Oceans and Seas". Live Science.
- ↑ "List of all Seas". List of seas in the world. 2010.
- ↑ Stanley, David (2004). South Pacific. David Stanley. p. 19. ISBN 978-1-56691-411-6.
- ↑ "Area of Earth's Land Surface", The Physics Factbook. Retrieved 9 June 2013.
- ↑ Nuttall, Mark (2005). Encyclopedia of the Arctic: A-F. Routledge. p. 1461. ISBN 978-1-57958-436-8. สืบค้นเมื่อ 10 June 2013.
- ↑ "Plate Tectonics". Bucknell University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2014. สืบค้นเมื่อ 9 มิถุนายน 2013.
- ↑ Young, Greg (2009). Plate Tectonics. Capstone. pp. 9–. ISBN 978-0-7565-4232-0. สืบค้นเมื่อ 9 June 2013.
- ↑ International Hydrographic Organization (1953). Limits of Oceans and Seas. International Hydrographic Organization. สืบค้นเมื่อ 9 June 2013.
- ↑ Agno, Lydia (1998). Basic Geography. Goodwill Trading Co., Inc. pp. 25–. ISBN 978-971-11-0165-7. สืบค้นเมื่อ 9 June 2013.
- ↑ "Pacific Ocean: The trade winds", Encyclopædia Britannica. Retrieved 9 June 2013.
- ↑ Shirley Rousseau Murphy (1979). The Ring of Fire. Avon. ISBN 978-0-380-47191-1.
- ↑ Bryant, Edward (2008). Tsunami: The Underrated Hazard. Springer. pp. 26–. ISBN 978-3-540-74274-6. สืบค้นเมื่อ 9 June 2013.
- ↑ "The Map That Named America". www.loc.gov. สืบค้นเมื่อ 3 December 2014.
- ↑ Ribero, Diego (c. 1887). "Carta universal en que se contiene todo lo que del mundo se ha descubierto fasta agora / hizola Diego Ribero cosmographo de su magestad, ano de 1529, e[n] Sevilla". London: W. Griggs. สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2017.
- ↑ K, Harsh (19 มีนาคม 2017). "This ocean has most of the islands in the world". Mysticalroads. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 สิงหาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 6 เมษายน 2017.
- ↑ Ishihara, Masahide; Hoshino, Eiichi; Fujita, Yoko (2016). Self-determinable Development of Small Islands (ภาษาอังกฤษ). Springer. p. 180. ISBN 9789811001321.
- ↑ United States. National Oceanic and Atmospheric Administration; Western Pacific Regional Fishery Management Council (2009). Toward an Ecosystem Approach for the Western Pacific Region: from Species-based Fishery Management Plans to Place-based Fishery Ecosystem Plans: Environmental Impact Statement (ภาษาอังกฤษ). Evanston, IL: Northwestern University. p. 60.
- ↑ Academic American encyclopedia. Grolier Incorporated. 1997. p. 8. ISBN 978-0-7172-2068-7. สืบค้นเมื่อ 12 June 2013.
- ↑ Lal, Brij Vilash; Fortune, Kate (2000). The Pacific Islands: An Encyclopedia. University of Hawaii Press. pp. 63–. ISBN 978-0-8248-2265-1. สืบค้นเมื่อ 14 June 2013.
- ↑ West, Barbara A. (2009). Encyclopedia of the Peoples of Asia and Oceania. Infobase Publishing. pp. 521–. ISBN 978-1-4381-1913-7. สืบค้นเมื่อ 14 June 2013.
- ↑ Dunford, Betty; Ridgell, Reilly (1996). Pacific Neighbors: The Islands of Micronesia, Melanesia, and Polynesia. Bess Press. pp. 125–. ISBN 978-1-57306-022-6. สืบค้นเมื่อ 14 June 2013.
- ↑ Gillespie, Rosemary G.; Clague, David A. (2009). Encyclopedia of Islands. University of California Press. p. 706. ISBN 978-0-520-25649-1. สืบค้นเมื่อ 12 June 2013.
- ↑ "Coral island", Encyclopædia Britannica. Retrieved 22 June 2013.
- ↑ "Nauru", Charting the Pacific. Retrieved 22 June 2013.
- ↑ "PWLF.org – The Pacific WildLife Foundation – The Pacific Ocean". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 เมษายน 2012. สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2013.
- ↑ Mongillo, John F. (2000). Encyclopedia of Environmental Science. University Rochester Press. pp. 255–. ISBN 978-1-57356-147-1. สืบค้นเมื่อ 9 June 2013.
- ↑ "Pacific Ocean: Salinity", Encyclopædia Britannica. Retrieved 9 June 2013.
- ↑ "Wind Driven Surface Currents: Equatorial Currents Background", Ocean Motion. Retrieved 9 June 2013.
- ↑ "Kuroshio", Encyclopædia Britannica. Retrieved 9 June 2013.
- ↑ "Aleutian Current", Encyclopædia Britannica. Retrieved 9 June 2013.
- ↑ "South Equatorial Current", Encyclopædia Britannica. Retrieved 9 June 2013.
ดูเพิ่ม
[แก้]- Barkley, Richard A. (1968). Oceanographic Atlas of the Pacific Ocean. Honolulu: University of Hawaii Press.
- prepared by the Special Publications Division, National Geographic Society. (1985). Blue Horizons: Paradise Isles of the Pacific. Washington, D.C.: National Geographic Society. ISBN 0-87044-544-8.
- Cameron, Ian (1987). Lost Paradise: The Exploration of the Pacific. Topsfield, Mass.: Salem House. ISBN 0-88162-275-3.
- Couper, A. D., บ.ก. (1989). Development and Social Change in the Pacific Islands. London: Routledge. ISBN 0-415-00917-0.
- Gilbert, John (1971). Charting the Vast Pacific. London: Aldus. ISBN 0-490-00226-9.
- Lower, J. Arthur (1978). Ocean of Destiny: A Concise History of the North Pacific, 1500–1978. Vancouver: University of British Columbia Press. ISBN 0-7748-0101-8.
- Napier, W.; Gilbert, J.; Holland, J. (1973). Pacific Voyages. Garden City, N.Y.: Doubleday. ISBN 0-385-04335-X.
- Nunn, Patrick D. (1998). Pacific Island Landscapes: Landscape and Geological Development of Southwest Pacific Islands, Especially Fiji, Samoa and Tonga. ISBN 978-982-02-0129-3.
- Oliver, Douglas L. (1989). The Pacific Islands (3rd ed.). Honolulu: University of Hawaii Press. ISBN 0-8248-1233-6.
- Paine, Lincoln. The Sea and Civilization: A Maritime History of the World (2015).
- Ridgell, Reilly (1988). Pacific Nations and Territories: The Islands of Micronesia, Melanesia, and Polynesia (2nd ed.). Honolulu: Bess Press. ISBN 0-935848-50-9.
- Samson, Jane. British imperial strategies in the Pacific, 1750–1900 (Ashgate Publishing, 2003).
- Soule, Gardner (1970). The Greatest Depths: Probing the Seas to 20,000 Feet and Below (2nd ed.). Philadelphia: Macrae Smith. ISBN 0-8255-8350-0.
- Spate, O. H. K. (1988). Paradise Found and Lost. Minneapolis: University of Minnesota Press. ISBN 0-8166-1715-5.
- Terrell, John (1986). Prehistory in the Pacific Islands: A Study of Variation in Language, Customs, and Human Biology. Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 0-521-30604-3.
ประวัติศาสตร์นิพนธ์
[แก้]- Davidson, James Wightman (1966). "Problems of Pacific history". Journal of Pacific History. 1 (1): 5–21.
- Gulliver, Katrina (มีนาคม 2011). "Finding the Pacific world". Journal of World History. University of Hawai'i Press. 22 (1): 83–100. doi:10.1353/jwh.2011.0026. eISSN 1527-8050. JSTOR 23011679.
- Igler, David (2013). The Great Ocean: Pacific Worlds from Captain Cook to the Gold Rush. New York: Oxford University Press. ISBN 0-19-991495-8.
- Munro, Doug. The Ivory Tower and Beyond: Participant Historians of the Pacific (Cambridge Scholars Publishing, 2009).
- Routledge, David (Spring 1985). "Pacific history as seen from the Pacific Islands". Pacific Studies. 8 (2): 81+. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-09-23. สืบค้นเมื่อ 2018-02-24.
- Samson, Jane (1999). Boyd, Kelly (บ.ก.). Pacific/Oceanic History. Encyclopedia of Historians and Historical Writing. Vol. 2 (1st ed.). New York: Routledge. pp. 901–2. doi:10.4324/9780203825556. ISBN 978-0-203-82555-6.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- "EPIC Pacific Ocean Data Collection Viewable". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 พฤษภาคม 2010. on-line collection of observational data
- "NOAA In-situ Ocean Data Viewer" plot and download ocean observations
- "NOAA PMEL Argo profiling floats Realtime Pacific Ocean data"
- "NOAA TAO" El Niño data Realtime Pacific Ocean El Niño buoy data
- "NOAA Ocean Surface Current Analyses"—Realtime (OSCAR) Near-realtime Pacific Ocean Surface Currents derived from satellite altimeter and scatterometer data