พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ)
มหาเสวกโท นายกองตรี พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ) | |
---|---|
พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ) ขณะดำรงตำแหน่งสมุหพระอาลักษณ์ฝ่ายพระบรมมหาราชวัง เมื่อ พ.ศ. 2459 | |
สมุหพระอาลักษณ์ ฝ่ายพระบรมมหาราชวัง (ฝ่ายวังหลวง) | |
ดำรงตำแหน่ง 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459 – 3 มีนาคม พ.ศ. 2460 | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว |
เจ้ากรมพระอาลักษณ์ | |
ดำ���งตำแหน่ง 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2436 – 24 มกราคม พ.ศ. 2437 | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ก่อนหน้า | พระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก สาลักษณ) |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2404 สี่กั๊กพระยาศรี เขตพระนคร กรุงรัตนโกสินทร์ |
เสียชีวิต | 3 มีนาคม พ.ศ. 2460 (56 ปี) |
บุตร | พระยาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ) |
บุพการี |
|
อาชีพ | ขุนนาง |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
สังกัด | กองเสือป่า |
ประจำการ | พ.ศ. ไม่ปรากฏ – พ.ศ. 2460 |
ยศ | นายกองตรี |
มหาเสวกโท นายกองตรี พระยาศรีภูริปรีชา (4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2404 - 3 มีนาคม พ.ศ. 2460) นามเดิม กมล ผู้ได้รับพระราชทานนามสกุลสาลักษณ สมุหพระอาลักษณ์ เลขานุการรัฐมนตรีสภา ปลัดทูลฉลองกระทรวงเกษตราธิการ ปลัดทูลฉลองกระทรวงมุรธาธร ผู้ช่วยราชเลขาธิการ ราชเลขานุการ[1] องคมนตรี[2]
ปฐมวัย
[แก้]มหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา มีนามเดิมว่า กมล เป็นบุตรของพระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก สาลักษณ) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 กับคุณหญิงอิ่ม เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2404 ปีระกา ที่เรือนมารดาในบ้านของพระศรีสหเทพ (เพง) ซึ่งตั้งอยู่ติดกับสี่แยกถนนเจริญกรุง และถนนเฟื่องนคร หรือที่รู้จักกันในนามของสี่กั๊กพระยาศรีในปัจจุบัน
พระยาศรีภูริปรีชาได้เริ่มเรียนหนังสือตั้งแต่ยังเล็ก โดยมารดาได้เริ่มสอนอ่านหนังสือตั้งแต่ 5 ขวบ ครั้นบิดา พระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก สาลักษณ) ได้พาขึ้นเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยให้อ่านหนังสือถวายตัว จนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชหฤทัยเอ็นดูและพระราชทานทองคำลิ่มเป็นรางวัล
การศึกษา
[แก้]เนื่องจากพระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก สาลักษณ) ผู้เป็นบิดา แม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีความรู้มากอย่างยิ่ง แต่ก็หาได้มีเวลาว่างจากงานราชการเลย มหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ) จึงต้องเที่ยวเรียนวิชาในสำนักอื่น อาทิเช่น วัดพระเชตุพน สำนักพระมงคลเทพมุนี (เที่ยง) สำนักพระครูสมุหคณิศร (โต) และสำนักหมอยอน ฮัสเสต ชันดเลอร์ (หมอจัน) ซึ่งเป็นครูสอนศาสนาชาวอเมริกัน เป็นต้น
นอกจากนี้ พระยาศรีภูริปรีชายังเคยได้รับการอบรมสั่งสอนวิชาจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ร่วมกับนายเจิม ซึ่งเป็นน้องชาย เมื่อครั้นยังเป็นเสมียนฝึกหัด[3]
ชีวิตราชการ
[แก้]- มหาดเล็กวิเศษ รับราชการอยู่เวรศักดิ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
- พ.ศ. 2425 รับราชการในกรมราชเลขาธิการ
- พ.ศ. 2425 ลาอุปสมบท ณ สำนักวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์
- พ.ศ. 2428 พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นนายจำนงราชกิจ หุ้มแพรวิเศษในกรมพระอาลักษณ์ ถือศักดินา 500[4]
- 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2433 เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นหลวงจำนงนริศร ถือศักดินา 800[5]
- พ.ศ. 2435 โปรดเกล้าฯ ให้เป็นสภาเลขานุการแห่งองคมนตรีสภา ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[6]
- 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2436 เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาศรีสุนทรโวหาร ญาณปรีชามาตย์ บรมนารถนิตยภักดี พิริยะพาหะ ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ ถือศักดินา 3000[7]
- 24 มกราคม พ.ศ. 2437 โปรดเกล้าฯ ให้เป็นสภาเลขานุการแห่งมนตรีสภา ในรัฐมนตรีสภาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[8]
- 8 ธันวาคม พ.ศ. 2442 โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดทูลฉลอง กระทรวงเกษตราธิการ (อีกตำแหน่งหนึ่ง) โดยมิให้ขาดจากตำแหน่งเดิม (เจ้ากรมพระอาลักษณ์)[9]
- พ.ศ. 2455 โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดทูลฉลอง กระทรวงมุรธาธร
- 22 ตุลาคม พ.ศ. 2455 โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปรับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยราชเลขาธิการ[10]
- 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459 เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาศรีภูริปรีชา รามาธิปติราชภักดี ศรีสาลักษณวิสัย อภัยพิริยพาหะ ตำแหน่งสมุหพระอาลักษณ์ ฝ่ายพระบรมมหาราชวัง[11]: 55 ถือศักดินา 10000[12]
ราชการพิเศษ
[แก้]- กรรมการองคมนตรี
- ที่ปรึกษาความฎีกาทูลเกล้าฯ ถวาย
- กรรมการหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร (หอสมุดแห่งชาติ)[13]
- เลขานุการกรรมการจัดการสร้างพระบรมรูปทรงม้า
- เลขานุการกรรมการจัดการสมโภชราชสมบัติครบ 41 ปี
- 29 พฤศจิกายน 2459 กรรมการวรรณคดีสโมสร[14]
- เลขาธิการราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม
ยศและบรรดาศักดิ์
[แก้]บรรดาศักดิ์
[แก้]- มหาดเล็กวิเศษ
- พ.ศ. 2428 นายจำนงราชกิจ ศักดินา 500
- พ.ศ. 2433 หลวงจำนงนริศร ศักดินา 800
- พ.ศ. 2436 พระยาศรีสุนทรโวหาร ญาณปรีชามาตย์ บรมนารถนิตยภักดี พิริยะพาหะ ศักดินา 3000
- พ.ศ. 2459 พระยาศรีภูริปรีชา รามาธิปติราชภักดี ศรีสาลักษณวิสัย อภัยพิริยพาหะ ศักดินา 10000
ยศข้าราชการกระทรวงวัง
[แก้]- มหาเสวกตรี
- 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2457 มหาเสวกโท[15]
ยศกองเสือป่า
[แก้]- 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2455 นายหมู่ตรี[16]
- นายหมู่ใหญ่
- 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2457 นายหมวดตรี[17]
- 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2458 นายหมวดโท[18]
- นายกองตรี
พระราชทานนามสกุล
[แก้]ด้วยเหตุที่ตระกูลสาลักษณได้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ในตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ถึงสามชั้น นับตั้งแต่รุ่นบิดา อันได้แก่ พระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก สาลักษณ) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สืบต่อมายัง มหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา สมุหพระอาลักษณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จวบจนกระทั่งถึงบุตร คือ มหาเสวกตรี พระยาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ) ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ดำรงในตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์สืบทอดต่อจากปู่และบิดาด้วยเช่นกัน
สำหรับการพระราชทานนามสกุล ปรากฏใน พระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ความว่า :-
วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๔๕๖
ถึง พระยาศรีสุนทรโวหาร (กมล)
นามสกุลของเจ้าที่ขอมานั้น ข้าได้ไตร่ตองดูแล้ว เห็นว่าในสกุลของเจ้าได้มีผู้ได้เคยรับใช้พระเจ้าแผ่นดินในน่าที่อาลักษณ์ เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยมาแล้วติตต่อกันได้สองชั่วคน ซึ่งถ้าจะคิดไปก็ควรนับว่าเป็นสิ่งควรรำฦกถึงและเปนที่ภาคภูมิใจแห่งลูกหลาน เพราะมิใช่ของง่ายที่บุตรจะรับมฤดกบิดาได้ในน่าที่ราชการอย่างเช่นเจ้ากับบิดาเจ้า เพราะเหตุนี้ ข้าขอให้นามสกุลของเจ้าว่า สาลักษณ (เขียนเปนตัวอักษรโรมันว่า Salakshna) เพื่อให้เปนพยานความชอบแห่งบิดาเจ้าและตัวเจ้า ขอให้สกุลสาลักษณ์เจริญรุ่งเรืองและมั่นคงอยู่ในกรุงสยามชั่วกัลปาวสาร
วชิราวุธ ป.ร.[19]: ก
โดยนามสกุลสาลักษณนับเป็นนามสกุลพระราชทานชุดแรกในลำดับที่ 56 ของประกาศกระทรวงมุรธาธร เรื่อง การพระราชทานนามสกุลครั้งที่ 1[20]
ผลงานทางด้านการประพันธ์และงานทางด้านสาธารณกุศล
[แก้]นอกจากงานในหน้าที่ราชการแล้ว มหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ) ยังได้รับการยกย่องให้เป็นนักประพันธ์คนสำคัญท่านหนึ่งของประเทศไทย ดังจะเห็นได้จากผลงานอันประกอบไปด้วย
- 1. ตำนานทัพเรือไทย (พิมพ์ลงในหนังสือสมุทรสาร)
- 2. บทละครดึกดำบรรพ์ เรื่องสิทธิธนู ซึ่งใช้เป็นหนังสืออ่านประกอบนอกเวลาวิชาภาษาไทยตามคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ วก.228/2538 และวก.256/2538[21]
- 3. คำเจรจาโขนหลวง ตอนสุครีพถอนพญารัง และตอนถวายลิง
- 4. โคลงสุภาษิต
ในส่วนของงานทางด้านสาธารณกุศล มหาเสวกโทพระยาศรีภูริปรีชาได้มีการบริจาคทานอยู่เป็นนิจ ดังจะเห็นได้จากการบริจาคเงินเป็นจำนวน 45 บาท เพื่อเป็นสาธารณกุศลในการพยาบาล เนื่องในโอกาสคล้ายวันเกิด โดยมอบให้แก่เจ้าพนักงานกระทรวงธรรมการเป็นผู้นำไปดำเนินการต่อ[22] เป็นต้น
รวมไปถึงการสร้างตึกสาลักษณาลัย[23] ภายในวัดโสมนัสราชวรวิหาร เพื่อเป็นโรงเรียนสำหรับสาธารณประโยชน์ โดยสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่คุณหญิง (พึ่ง) ศรีภูริปรีชา และได้ขอแบบจากกรมศึกษาธิการไปจัดการก่อสร้างเป็นตึกสองชั้น ยาว 8 วา กว้างในประธาน 4 วา สามารถจุนักเรียนได้ห้องละ 30 คน รวมทั้งสิ้น 4 ห้อง โดยในการนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระราชศรัทธาพระราชทานทรัพย์เข้าในส่วนกุศล ร่วมด้วยเจ้านายหลายพระองค์ และข้าราชการอีกเป็นจำนวนมาก พร้อมกันนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามตึกโรงเรียนหลังดังกล่าวนี้ว่า สาลักษณาลัย อีกด้วย
มหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา ได้มอบตึกดังกล่าวให้แก่กรมศึกษาธิการเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2459 และในปัจจุบันตึกสาลักษณาลัยได้กลายเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรมภายในวัดโสมนัสราชวรวิหาร ยังประโยชน์สมดังเจตนารมณ์ของท่านเจ้าคุณในที่สุด
ชีวิตครอบครัวและชีวิตในบั้นปลาย
[แก้]มหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ) ได้ตั้งเคหสถานอยู่ที่ถนนตลาด ตำบลนางเลิ้ง จังหวัดพระนคร และสมรสกับคุณหญิง (พึ่ง) ศรีภูริปรีชา[24]มีบุตรธิดาจำนวนทั้งสิ้น 8 คน[25] ได้แก่
- 1. มหาเสวกตรี พระยาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ)
- 2. ท่านผู้หญิง (ถวิล) ธรรมศักดิมนตรี สมรสกับเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
- 3. นาง (ปรุง) ธรรมศักดิมนตรี ภริยาในเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
- 4. นาง (ฉวี) บวรวาที (นพวงศ์ ณ อยุธยา)
- 5. เสวกโท หลวงวิจิตรราชมนตรี (เล็ก สาลักษณ)
- 6. อำมาตย์เอก พระสุนทรวาจนา (สุนทร สาลักษณ) อัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน[26] สมรสกับนางสุนทรวาจนา (สดับ) และนางสุนทรวาจนา (สดม) ซึ่งทั้งสองท่านล้วนเป็นบุตรีของเจ้าพระยาพิชัยญาติ (ดั่น บุนนาค)[27]
- 7. นางสาวศรี สาลักษณ
- 8. นายอุดม สาลักษณ
- 9. นางสาวเหรียญ สาลักษณ
- 10. พระศรีเกษตราภิบาล (แนบ สาลักษณ)
- 11. นางเอื้อน เทพหัสดิน ณ อยุธยา
- 12. เสวกตรี หลวงบำบัดอัศวแพทย์ (นิตย์ สาลักษณ)
- 13. นายกฤษณ์ สาลักษณ
- 14. นางสาวอัมพร สาลักษณ
- 15. นางจงกล พงศ์พิพัฒน์
- 16. นางอุบล ศิริวงศ์
เกียรติยศ
[แก้]เครื่องยศ
[แก้]พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ) ได้รับพระราชทานเครื่องยศ ดังต่อไปนี้
- พานทอง
- เค้าน้ำทอง
- กระโถนทอง
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
[แก้]พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ) ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เหรียญ และเข็ม ชั้นสูงสุดตระกูลต่างๆ ดังนี้
- พ.ศ. 2458 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนวราภรณ์ (ร.ว.) (ฝ่ายหน้า)[28]
- พ.ศ. 2459 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)[29]
- พ.ศ. 2455 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)[30]
- พ.ศ. 2451 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 2 ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.) (ฝ่ายหน้า)[31]
- พ.ศ. 2458 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์วชิรมาลา (ว.ม.ล.)[32]
- พ.ศ. 2440 – เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา (ร.ด.ม.(ศ))[33]
- พ.ศ. 2456 – เหรียญจักรพรรดิมา��า (ร.จ.พ.)[34]
- พ.ศ. 2453 – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 3 (ว.ป.ร.3)[35]
- พ.ศ. 2454 – เหรียญราชรุจิทอง รัชกาลที่ 6 (ร.จ.ท.6)[36]
- พ.ศ. 2436 – เหรียญทวีธาภิเศก (ท.ศ.)
- พ.ศ. 2440 – เหรียญประพาสมาลา (ร.ป.ม.)
- พ.ศ. 2441 – เหรียญราชินี (ส.ผ.)[37]
- พ.ศ. 2446 – เหรียญทวีธาภิเศก (ท.ศ.)
- พ.ศ. 2450 – เหรียญรัชมงคล (ร.ร.ม.)
- พ.ศ. 2451 – เหรียญรัชมังคลาภิเศก รัชกาลที่ 5 (ร.ม.ศ.5)
- พ.ศ. 2454 – เหรียญบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 6 (ร.ร.ศ.6)
- พ.ศ. 2450 – เข็มอักษรเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป รักษาพระนครคราวหลัง (เข็มเงิน)
- พ.ศ. 2452 – เข็มพระชนมายุสมมงคลทอง
- พ.ศ. 2454 – เข็มพระบรมนามาภิไธย ว.ป.ร. ประดับเพชร
- พ.ศ. 2454 – เข็มข้าหลวงเดิม
- พ.ศ. 2456 – เข็มพระรูปสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี ชั้นที่ 2
- พ.ศ. 2457 – เข็มไอราพต
ถึงแก่อนิจกรรม
[แก้]มหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ) ถึงแก่อนิจกรรมในปีมะเส็ง เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2460 (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2461) สิริอายุรวม 56 ปี ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโกศแปดเหลี่ยมสวมศพตั้งบนแว่นฟ้า 2 ชั้น ตั้งฉัตรเบญจา 4 คัน กลองชนะเขียว 10 จ่าปี่ 1 ประโคมประจำศพ กับพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมรับพระราชทานฉันเช้า 4 รูป มีกำหนด 3 วันเป็นเกียรติยศ[38]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2458/A/283.PDF
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-04-18. สืบค้นเมื่อ 2017-02-01.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-29. สืบค้นเมื่อ 2017-02-01.
- ↑ สัญญาบัตรปีระกาสัปตศก
- ↑ พระราชทานสัญญาบัตร
- ↑ การประชุมองคมนตรี
- ↑ พระราชทานสัญญาบัตรพลเรือน (หน้า 101)
- ↑ การเปิดรัฐมนตรีสภา
- ↑ แจ้งความกระทรวงเกษตราธิการ
- ↑ พระบรมราชโองการ ประกาศ ย้ายพระยาศรีสุนทรโวหารปลัดทูลฉลองกระทรวงมุรธาธรมารับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยราชเลขานุการ
- ↑ เจียระไน วิทิตกูล และชานป์วิชช์ ทัดแก้ว. (2563). "พม่า มอญ ไทย บาลี: ความหลากหลายของกลุ่มวรรณคดีราชาธิราชในประเทศไทย", ใน วารสารอักษรศาสตร์, 49(2). (2563). อ้างใน ข้อความจากบานแพนกของราชาธิราชสำนวนเจ้าพระยาพระคลัง (หน).
- ↑ พระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์
- ↑ https://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3_%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_%E0%B9%98
- ↑ แจ้งความวรรณคดีสโมสร
- ↑ พระราชทานยศ
- ↑ พระราชทานสัญญาบัตรเสือป่า
- ↑ ประกาศเลื่อนยศเสือป่า
- ↑ พระราชทานยศเสือป่า
- ↑ ศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ), พระยา. (2463). นิพนธของพระยาศรีภูริปรีชา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ไทย. 130 หน้า.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-11-18. สืบค้นเมื่อ 2017-02-02.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-01-17. สืบค้นเมื่อ 2021-09-26.
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2449/036/916_1.PDF
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2460/D/3768.PDF
- ↑ ข่าวตาย
- ↑ http://www.sammajivasil.net/sripen/sriphen.htm
- ↑ http://thaiembassy.de/site/index.php/de/uncategorised/686-ambassadors-and-ministers[ลิงก์เสีย]
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-31. สืบค้นเมื่อ 2017-02-01.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานตรารัตนวราภรณ์, เล่ม ๓๒ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๓๙๕, ๙ มกราคม ๒๔๕๘
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๓๓ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๘๓๗, ๒๒ ตุลาคม ๒๔๕๙
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เก็บถาวร 2020-03-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๒๙ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๔๑๙, ๒๒ มกราคม ๑๓๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายหน้า, เล่ม ๒๕ ตอนที่ ๓๕ หน้า ๑๐๑๐, ๒๙ พฤศจิกายน ๑๒๗
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานตราวชิรมาลา, เล่ม ๓๒ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๕, ๔ เมษายน ๒๔๕๘
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญ, เล่ม ๑๔ ตอนที่ ๒๖ หน้า ๓๗๐, ๒๙ กันยายน ๑๑๖
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญจักรพรรดิมาลา, เล่ม ๓๐ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๖๘๐, ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๖
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลปัจจุบัน ฝ่ายหน้า เก็บถาวร 2015-09-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๒๗ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๔๑๒, ๑๑ มกราคม ๑๒๙
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญราชรุจิ[ลิงก์เสีย], เล่ม ๒๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๗๒๑, ๙ กรกฎาคม ๑๓๐
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญราชินี, เล่ม ๑๕ ตอนที่ ๒๖ หน้า ๒๘๔, ๒๕ กันยายน ๑๑๕
- ↑ "ข่าวถึงอนิจกรรม" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 34 (ง): 3617. 10 มีนาคม 2460. สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2562.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help)