ข้ามไปเนื้อหา

การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(ต่าง) ←รุ่นเก่ากว่านี้ | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นที่ใหม่กว่า → (ต่าง)
การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองของผู้ชาย
การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองของผู้หญิง


การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง หรือ อัตกาม[1][2] (อังกฤษ: masturbation) หรือที่มักเรียกว่าการช่วยตัวเอง (ในชายเรียกว่า ชักว่าว ในหญิงเรียกว่า เกี่ยวเบ็ดและติ้ว) คือการกระตุ้นอวัยวะเพศของตนเองเพื่อให้เกิดอารมณ์ทางเพศหรือความพอใจอื่น ๆ ปกติจะทำจนถึงความเสียวสุดยอดทางเพศ[3]จนทำให้บางคนถึงกับครางออกมาได้ การกระตุ้นอาจใช้มือ นิ้วมือ วัตถุในชีวิตประจำวัน เซ็กซ์ทอย หรือหลายอย่างร่วมกัน[3][4] การสำเร็จความใคร่ร่วมกัน (กระตุ้นทางเพศด้วยตนเองร่วมกับผู้อื่น) สามารถแทนการสอดใส่ได้ จากการศึกษาพบว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองพบมากในมนุษย์ทุกเพศ และทุกวัย กิจกรรมการสำเร็จความใคร่นับว่ามีประโยชน์ทางการแพทย์และจิตวิทยา ยังไม่มีความสัมพันธ์เหตุภาพระหว่างการสำเร็จความใคร่กับความผิดปกติทางจิตหรือทางร่างกายใด ๆ [5]

มีการพรรณนาถึงการสำเร็จความใคร่ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และมีการพูดถึงและอภิปรายถึงในงานเขียนยุคแรก ๆ ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 นักเทววิทยาและหมอชาวยุโรปมองว่า "น่าเกลียด" "น่าตำหนิ" และ "น่ากลัว" แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ข้อห้ามดังกล่าวเริ่มลดความสำคัญลง มีการอภิปรายและพรรณนาถึงการสำเร็จความใคร่ในงานศิลปะ ดนตรีสมัยนิยม โทรทัศน์ ภาพยนตร์ และวรรณกรรม ในปัจจุบัน ศาสนาต่าง ๆ มีมุมมองต่อการสำเร็จความใคร่ที่แตกต่างกัน บางศาสนามองว่าเป็นกิจกรรมที่เป็นภัยต่อจิตใจ บางศาสนามองว่าไม่เป็นภัยดังกล่าว และบางศาสนามองต่างกันตามสถานการณ์ การสำเร็จความใคร่ในทางกฎหมายมีความแตกต่างตามช่วงประวัติศาสตร์ และการสำเร็จความใคร่ในที่สาธารณะในหลายประเทศนับเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย[6]

ในโลกตะวันตก การช่วยตัวเองคนเดียวหรือกับคู่รักนับถือเป็นเรื่องปกติและนับเป็นส่วนหนึ่งของการมีความสุขทางเพศ การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองยังถูกพบในสัตว์หลายสายพันธุ์ทั้งในถิ่นที่อยู่และในกรงขัง[7][8][9]

นิรุกติศาสตร์

[แก้]

คำว่า "อัตกาม" มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต คือ "อัต" และ "กาม" "อัต" แปลว่า "ตน, ตนเอง" ส่วน "กาม" แปลว่า "ความใคร่, ความปรารถนา, ความใคร่ทางเมถุน" ในภาษาอื่น อาจมีรากศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ มือ และ การร่วมเพศ อาทิ ในภาษาฮินดี คำว่าอัตกาม คือ हस्तमैथुन (หัสตไมถุน) ซึ่งประกอบด้วย ศัพท์สันสกฤต คือ หัสต์ (มือ) และ เมถุน (การร่วมเพศ) ซึ่งหากแปลตรงตัว จะแปลว่า "การร่วมเพศกับมือ"

วิธีสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง

[แก้]

วิธีสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองของหญิงและชาย จะเกี่ยวข้องกับการลูบไล้หรือคลึงบริเวณอวัยวะเพศ ด้วยนิ้วหรือวัตถุต่าง ๆ เช่น หมอน, สอดนิ้วหรือวัตถุเข้าไปในช่องคลอดหรือรูทวาร, กระตุ้นองคชาตหรือปุ่มกระสันด้วยไวเบรเตอร์ ฯลฯ ขณะที่กำลังสำเร็จความใคร่ ทั้งชายและหญิงอาจจะมีความสุขกับการสัมผัส ถู คลึงที่หัวนม หรือบริเวณที่ไวต่อความรู้สึก ทั้งชายและหญิงอาจใช้สารหล่อลื่นเพื่อช่วยเพิ่มความรู้สึกได้

การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองมักกระทำร่วมกับการดูหนังโป๊ นึกถึงคนรัก จินตนาการเรือนร่างของหญิงสาว หรือการอ่านหนังสือโป๊ นอกจากนี้บางคนยังอาจสวมใส่เสื้อผ้าที่ให้ความรู้สึกพิเศษในขณะสำเร็จความใคร่ เช่น การสวมเสื้อผ้าที่รัดรูป, รัดอวัยวะเพศ หรือการแต่งกายด้วยเสื้อผ้า ชุดชั้นในของเพศตรงข้าม กางเกงนักเรียน และกางเกงลูกเสือ​

ผู้หญิง

[แก้]
ภาพ Woman seated with thighs apart ของกุสตาฟ คลิมต์ (1916) แสดงการสำเร็จความใคร่ของผู้หญิง

การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองของผู้หญิงนั้นมีหลายวิธีและหลากหลายกว่าผู้ชาย แตกต่างกันไปตามปัจจัยและรสนิยมส่วนตัวของแต่ละคน วิธีสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองทำได้โดยการลูบหรือคลึงที่แคมโดยเฉพาะที่ปุ่มกระสัน ด้วยนิ้วกลางหรือนิ้วชี้ ที่เรียกกันว่า ตกเบ็ด หรืออาจใช้หลาย ๆ นิ้วสอดใส่เข้าไปในช่องคลอดและลูบบริเวณผนังด้านหน้าซ้ำ ๆ ซึ่งอาจเป็นที่ตั้งของจุดจีสปอต[10] งานวิจัยพบว่าผู้หญิงประมาณ 75% ไม่เคยถึงจุดสุดยอดโดยการร่วมเพศอย่างเดียว[11] อาจมีการใช้เครื่องช่วยอย่างไวเบรเตอร์, ดิลโด้ หรือวัตถุอื่นเพื่อช่วยกระตุ้น ผู้หญิงบางคนจะใช้มือข้างที่ว่างลูบเต้านมหรือหัวนมของตนไปด้วย การกระตุ้นทางรูทวารก็ทำให้มีความสุขได้เช่นกัน เพราะมีปลายประสาทอยู่บริเวณนั้นหลายพันเส้น

บางครั้งก็มีการใช้สารหล่อลื่น โดยเฉพาะในส่วนที่ทะลุผ่านเข้าไป แต่ก็ไม่ได้ทำกันทุกคน เพราะผู้หญิงหลายคนก็มีสารหล่อลื่นที่หลั่งมาเองเพียงพออยู่แล้ว บางคนจะหลั่งสารหล่อลื่นออกมาได้มากเมื่ออยู่กับผู้อื่น ดูเหมือนจะเป็นเหตุผลทางด้านสภาพจิตใจ

ผู้หญิงหลายคนสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองในอ่างอาบน้ำ หรือบ่อน้ำร้อน บางครั้งก็ใช้น้ำอุ่นกระตุ้นปุ่มกระสัน ท่าที่ใช้กันส่วนใหญ่คือท่านอนหงาย นอนคว่ำ นั่ง นั่งยอง ๆ และยืนแหกขา บางคนอาจนอนคว่ำแล้วคร่อมกับหมอน หรือขอบเตียง หรือม้วนเสื้อผ้าแล้วใช้เนินแคมหรือปุ่มกระสันถูกับมัน บางคนก็ยืนถูกับมุมของเฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่เครื่องซักผ้าก็ใช้กระตุ้นปุ่มกระสันผ่านแคมและเสื้อผ้าได้

บางคนถึงจุดสุดยอดได้ด้วยการนั่งไขว่ห้างและเกร็งขา ซึ่งช่วยสร้างแรงกดที่อวัยวะเพศได้ วิธีนี้ใช้ได้ผลในที่สาธารณะโดยที่ผู้อื่นไม่สังเกต บางคนอาจใช้การกดเพียงอย่างเดียวที่ปุ่มกระสันโดยไม่ต้องสัมผัสโดยตรง เช่น การกดที่กางเกงในหรือเสื้อผ้า หรือการดึง รัดกางเกงชั้นในให้รัดบริเวณร่องอวัยวะเพศ

ความคิด จินตนาการ และความทรงจำเกี่ยวกับการกระตุ้นหรือการถึงจุดสุดยอดครั้งก่อนสามารถก่อให้เกิดอารมณ์ทางเพศ ผู้หญิงบางคนสามารถถึงจุดสุดยอดได้ด้วยความต้องการเพียงอย่างเดียว ทว่าไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการช่วยตัวเองเนื่องจากไม่มีการกระตุ้นทางกายภาพ[12][13]

ผู้ชาย

[แก้]
ภาพเซเทอร์บนแจกันของกรีก (560-550 BC) แสดงการสำเร็จความใคร่ของผู้ชาย

วิธีที่ใช้กันมากที่สุด นิยมเรียกกันว่า การชักว่าว[14]วิธีคือ ใช้มือข้างที่ถนัดกำรอบองคชาตที่แข็งตัว แล้วรูดขึ้นรูดลง รูดลงให้หัวองคชาตเปิดออกหรือไม่เปิดก็ได้ รูดขึ้นรูดลงจากโคนสู่ปลาย จากปลายย้อนกลับลงมาที่โคน ด้วยความเร็วระดับต่าง ๆ โดยมักเร็วขึ้นเมื่อใกล้ถึงจุดสุดยอดและลดลงหลังการหลั่ง[15]

วิธีสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองของผู้ชายขึ้นอยู่กับปัจจัยและรสนิยมส่วนตัวของแต่ละคน วิธีการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองของผู้ชายที่ขริบแล้วกับผู้ชายที่ไม่ได้ขริบอาจจะต่างกัน วิธีหนึ่งอาจใช้ได้ดีกับคนหนึ่งแต่อาจสร้างความเจ็บปวดให้กับอีกคน หากไม่ได้ขริบมือที่รูดจะไม่ได้สัมผัสกับหัวองคชาตโดยตรงแต่จะสัมผัสกับหนังหุ้มซึ่งลดแรงเสียดทาน แต่ถ้าขริบแล้วมืออาจจะสัมผัสกับหัวองคชาตโดยตรงทำให้หลายคนเลือกใช้สารหล่อลื่นหรือน้ำลายเพื่อลดแรงเสียดทาน การการรูดขึ้นลงนั้นจะเรียกว่า "การชัก" ส่วนการเพิ่มระดับความเร็วจะเรียกว่า "ซอย"

อีกวิธีหนึ่ง คือ การใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งจับที่กึ่งกลางองคชาต แล้วรูดหนังหุ้มเข้าออก หรืออาจใช้นิ้วจับองคชาตในลักษณะเดียวกับจับขลุ่ยแล้วรูดเข้าออก[15]

นอกจากนี้ยังสามารถนอนคว่ำลงบนที่นุ่ม ๆ เช่นที่นอนหรือหมอน แล้วถูองคชาต หรือกดองคชาตเข้า ๆ ออก ๆ กับที่นอนหรือหมอนนั้น คล้ายการร่วมเพศ จนกว่าจะถึงจุดสุดยอด หรือการนอนคว่ำหน้ากับพื้นแล้วถูไถบดคลึงองคชาตที่อ่อนตัวกับพื้นห้องหรือที่นอน ก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้ถึงจุดสุดยอดได้[16] ซึ่งวิธีนี้พบว่าเป็นวิธีที่เด็กชายหลายคนเคยชอบทำมาก่อนเมื่อตอนเด็ก ๆ โดยที่พวกเขามักไม่รู้ว่านี่คือการสำเร็จความใคร่ด้วยเองรูปแบบหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นได้แม้ร่างกายจะยังไม่มีการสร้างน้ำอสุจิ แต่ก็สามารถรู้สึกเสียวและถึงจุดสุดยอดได้เช่นเดียวกับผู้ใหญ่เช่นกัน[ต้องการอ้างอิง]

บางคนอาจใช้ช่องคลอดเทียมหรือวัตถุที่ทำให้มีลักษณะคล้ายช่องคลอด เช่น แตงโมเจาะรู หมอนที่มีรู เนื้อสัตว์ ปลาหมึก ฯลฯ ในการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง โดยอาจสอดองคชาตเข้าไปในรูหรือช่อง ให้เหมือนกับการมีเพศสัมพันธ์ วิธีเหล่านี้อาจทำให้เจ็บหรือถลอกได้ หากถูแรงเกินไป บางคนอาจลูบอัณฑะ หัวนม ก้น หรือส่วนอื่นของร่างกายขณะที่สำเร็จความใคร่ไปด้วย บางคนอาจใช��ไวเบรเตอร์หรืออุปกรณ์ทางเพศอื่น ๆ ที่นิยมใช้ในผู้หญิง นอกจากนี้ยังมีผู้ชายบางคนที่สามารถการใช้ปากกับอวัยวะเพศชายของตัวเองได้ซึ่งการใช้ปากเป็นการช่วยปลดปล่อยความอยากได้อีกทางหนึ่ง

ผู้ชายบางคนอาจมีการสวมกางเกงที่รัดรูป เช่น กางเกงชั้นใน บ็อกเซอร์ กางเกงฟุตบอล กางเกงกีฬาอืนหรือสวมกางเกงหลุดก้นที่กดรัดอวัยวะเพศไว้ ขณะทำการสำเร็จความใคร่ก็ได้ โดยอาจใช้มือลูบคลำภายนอกกางเกง หรือใช้วิธีนอนคว่ำหน้าก็ได้ ซึ่งจะทำให้องคชาตอยู่ในรูปร่างท่าทางที่ถูไถกับที่นอนหรือหมอนได้สะดวกยิ่งขึ้น มีข้อดีคือทำให้สามารถถึงจุดสุดยอดได้ทันทีตามที่ต้องการ เนื่องจากมีกางเกงช่วยซึมซับน้ำอสุจิไม่ให้เลอะเทอะออกมาภายนอก หรือสามารถช่วยตัวเองได้ในสถานที่ส่วนตัวหรือสถานที่ไม่เป็นส่วนตัวนัก มักจะเรียกว่า เอ้าดอร์ (Outdoor) หรืออาจมีการทำออรัลเซ็กซ์อีกด้วย[17]

ต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะที่สร้างน้ำเมือกไปผสมกับน้ำอสุจิ ต่อมลูกหมากไวต่อการสัมผัส ซึ่งกระตุ้นได้โดยตรงด้วยการใช้นิ้วหรือดิลโด้ที่ทาสารหล่อลื่นสอดไปทางรูทวาร จนถึงลำไส้ใหญ่ การกระตุ้นต่อมลูกหมากจากภายนอกด้วยการกดบริเวณฝีเย็บจะให้ความสุขได้ ผู้ชายบางคนอาจชื่นชอบการกระตุ้นทวารหนักด้วยนิ้วหรืออย่างอื่น โดยไม่มีการกระตุ้นทางต่อมลูกหมาก

รสนิยมการช่วยตัวเอง

[แก้]

รสนิยมการช่วยตัวเองในผู้ชายที่ชอบเพศเดียวกันหรือ เกย์ มีหลากหลายรสนิยม ไม่ว่าจะเป็น การสำเร็จความใคร่นอกสถานที่ การช่วยตัวเองด้วยเนื้อสัตว์และผลไม้ การช่วยตัวเองด้วยตุ๊กตาหมี การช่วยตัวเองด้วยการสวมใส่กางเกงชั้นใน การสำเร็จความใคร่หรือการลูบคลำด้วยการสวมใส่ชุดฟุตบอล และการสำเร็จความใคร่ด้วยเซ็กทอย[ต้องการอ้างอิง]

ความถี่ อายุ เพศ

[แก้]

ความถี่ของการสำเร็จความใคร่ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ ความสามารถในการยับยั้งอารมณ์ทางเพศ ระดับฮอร์โมนเพศ (Physiology & Behavior, 2005 Oct 15; Vol. 86 (3), pp. 356-68) และทัศนคติต่อการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองอันเป็นผลจากวัฒนธรรม [18] "นักศึกษาหญิงจำนวน 48 คน ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับทัศนคติต่อความถี่ในการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง นักศึกษาจำนวน 24 คนจากกลุ่มนี้ถูกแยกไปดูหนังเกี่ยวกับการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองของผู้หญิง อีก 1 เดือนต่อมา มีการถามคำถามด้วยคำถามเดิมอีกครั้ง ผลปรากฏว่ากลุ่มที่ไปดูหนังมีการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองบ่อยครั้งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ดู อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ไปดูหนังกล่าวว่าการดูหนังไม่มีผลต่อทัศนคติในการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองของพวกเธอ"

เชื่อกันว่าคนส่วนใหญ่เริ่มสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว จากการสำรวจของนิตยสาร NOW เมื่อปี 2004 โดยการสุ่มถามคนจำนวนหลายพันคน [19] พบว่าผู้ชาย 81% เริ่มสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเมื่ออายุ 10 - 15 ปี ขณะที่ในผู้หญิง มีเพียง 55% ที่เริ่มสำเร็จความใคร่ในวัยเดียวกัน

ในเพศชายหลังเข้าสู่วัยแตกเนื้อหนุ่ม(puberty)แล้วเป็นที่ยอมรับกันว่าแทบทุกคนล้วนต้องเคยผ่านประสบการณ์การสำเร็จความใคร่ เป็นการเรียนรู้ขั้นตอนการหาความสุขทางเพศที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เนื่องจากในช่วงดังกล่าวจะมีแรงกระตุ้นทางเพศไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เพศหรือการแข็งตัวขององคชาติ การเริ่มสำรวจร่างกายตนเองและทดลองสัมผัสกับอวัยวะเพศทำให้เกิดความพึงพอใจและมีการพัฒนารูปแบบขึ้นจนกลายเป็นวิธีการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองในที่สุด เด็กผู้ชายแต่ละคนอาจค้นพบกิจกรรมดังกล่าวแตกต่างกัน บางคนค้นพบด้วยตนเองเมื่อมีการกระตุ้นอวัยวะเพศขณะแข็งตัวโดยไม่ตั้งใจ เช่น ขณะนอนคว่ำ กอดหมอนข้าง หรือสวมใส่กางเกงชั้นใน บางคนอาจได้รับการบอกเล่าจากเพื่อนเพศเดียวกันหรือพี่ชาย เนื่องจากการพูดคุยเรื่องกิจกรรมการชักว่าวและเรื่องเพศอื่น ๆ เป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นชาย ส่วนที่เหลืออาจเรียนรู้จากสื่อ เช่น อินเทอร์เน็ตหรือหนังสือเพศศึกษา เป็นต้น

ผลสำรวจจากนิตยสาร NOW ระบุว่า ความถี่ของการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองจะค่อย ๆ ลดลงหลังอายุ 17 ปีขึ้นไป ผู้ชายส่วนใหญ่ยังสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองวันละครั้งหรือมากกว่าไปจนถึงอายุ 30 ปี และอาจมากกว่านั้น โดยเฉพาะในผู้หญิง ความถี่จะลดลงอย่างมาก และค่อย ๆ ลดลงช้ากว่าผู้ชาย ผู้หญิงอายุ 13 - 17 ปี สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองโดยเฉลี่ยเกือบ 1 ครั้งต่อวัน ผู้หญิงที่โตเต��มที่สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองประมาณ 8 - 9 ครั้งต่อเดือน เมื่อเทียบกับผู้ชายอายุ 18 - 22 ปี

ความสามารถในการสำเร็จความใคร่จะลดลงตามอายุ มีรายงานว่าวัยรุ่นบางคนสามารถสำเร็จความใคร่ได้ถึงวันละ 6 ครั้งหรือมากกว่า ขณะที่ชายวัยกลางคนแม้เพียงครั้งเดียวต่อวันก็ยากแล้ว การสำรวจนี้ไม่ได้กล่าวถึงการความเจ็บป่วยและประวัติของผู้ตอบ และเป็นข้อมูลที่ได้จากสำรวจผู้ที่อ่านนิตยสารเล่มนี้เท่านั้น ดังนั้นข้อมูลจึงไม่สามารถนำไปเป็นข้อมูลทั่วไปได้

ผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ

[แก้]

การสำเร็จความใคร่ช่วยลดความซึมเศร้าและผ่อนคลายได้และยังช่วยสร้างความพึงพอใจในตนเอง (Hurlbert & Whittaker, 1991) การสำเร็จความใคร่ยังมีส่วนในการรักษาสัมพันธภาพ กล่าวคือ ถ้าความต้องการทางเพศของสองฝ่ายไม่เท่าเทียมกัน การสำเร็จความใคร่จึงเป็นทางออกเพื่อรักษาสมดุลระหว่างความสัมพันธ์ของทั้งสอง

วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 ทีมวิจัยจากออสเตรเลียนำโดย Graham Giles ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่องความถี่ในการสำเร็จความใคร่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก[20] และการหลั่งน้ำอสุจิจากการสำเร็จความใคร่ก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่าหลั่งจากการร่วมเพศ เพราะการร่วมเพศอาจทำให้ได้รับโรคติดต่อซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง

จากงานวิจัยของ Stuart Brody พบว่า ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด คนที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์จะมีความดันเลือดต่ำกว่าคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์และสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองมาก่อน 1 วันหรือมากกว่า (Brody, 2006)

การสำเร็จความใคร่ระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายอาจก่อให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ ถ้าน้ำกามสัมผัสกับแคม (อวัยวะเพศ) การสำเร็จความใคร่อาจเป็นการกระจายโรคติดต่อหากมีการสัมผัสของเหลวจากร่างกาย ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสของเหลวจากอีกฝ่ายหากยังไม่แน่ใจว่าเป็นโรคหรือไม่ วัตถุที่ใส่ไปในช่องคลอดหรือรูทวารต้องสะอาดและไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บ ไม่ควรนำวัตถุใด ๆ ใส่เข้าไปในรูทวารหรือช่องคลอดทั้งอัน หรือวัตถุที่ร้อนหรือเป็นครีบ มิฉะนั้นแล้ว อาจจะต้องทำการผ่าตัดเพื่อนำวัตถุนั้นออกมา ดิลโด้สมัยใหม่จึงมักถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยในการใช้งานมากขึ้น เช่น ไม่สามารถสอดเข้าไปทั้งอันได้โดยง่าย เป็นต้น

ความเย้ายวนให้สำเร็จความใคร่อาจเป็นส่วนหนึ่งของอาการติดใจในเพศรส ซึ่งมีผลทำให้บุคคลที่มีอาการดังกล่าวเป็นบุคคลที่มีความต้องการทางเพศสูงกว่า และ/หรือ บ่อยครั้งกว่าบุคคลปกติทั่วไป

นอกจากนี้ มีการค้นพบว่า โดยพบความผิดปกติทุกกรณี 1 ต่อ100 คน ทั้งนี้ส่วนใหญ่สาเหตุที่ทำให้อวัยวะเพศโค้งงอนั้น มาจากการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากมีเพศสัมพันธ์ หรือการช่วยตัวเองอย่างรุนแรงจนทำให้เกิดการฉีกขาดตรงบริเวณปลอกของเนื้อ เยื่อที่ทำให้อวัยวะเพศขยายตัว แต่ไม่ถึงกับหัก มีเพียงรอยแผล และเกิดเป็นแผลเป็น ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด นอกจากนั้นมีจำนวนเล็กน้อยที่เกิดจากผลข้างเคียงจากการรับประทานยาลดความดัน [21]

จากการวิจัยพบว่า การช่วยตัวเองในผู้ชายสามารถลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ การที่ผู้ชายสำเร็จความใคร่เวลานานหรือ ทำหลาย ๆ ครั้งจะทำให้แสบบริเวณในรูของอวัยวะเพศ[22]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Volubilis Dictionary 1.0
  2. กนกวรรณ ทองตะโก, เราะมะฎอน (Ramaḍān)[ลิงก์เสีย], ราชบัณฑิตยสถาน.
  3. 3.0 3.1 "Masturbation – Is Masturbation Normal or Harmful? Who Masturbates? Why Do People Masturbate?". WebMD. 4 March 2010. สืบค้นเมื่อ 17 August 2011.
  4. Based on "masturbation" in Merriam-Webster's Collegiate Dictionary, Eleventh Edition, Merriam-Webster, Inc., 2003
  5. Coleman, Eli (2012) [2002]. "Masturbation as a Means of Achieving Sexual Health" (PDF). ใน Bockting, Walter O. (บ.ก.). Masturbation as a Means of Achieving Sexual Health (PDF). New York: Routledge, Taylor & Francis Group. p. 7. ISBN 0-7890-2047-5. OCLC 50913590. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2015-07-22. Despite the scientific evidence indicating that masturbation is generally a normal variant of sexual expression and that it does not seem to have a causal relationship with sexual pathology, negative attitudes about masturbation persist and it remains stigmatized.
  6. Hallikeri, Vinay R.; Gouda, Hareesh S.; Aramani, Sunil C.; Vijaykumar, A.G.; Ajaykumar, T.S. (July–December 2010). "MASTURBATION—AN OVERVIEW". Journal of Forensic Medicine and Toxicology. New Delhi: Medicolegal Society. 27 (2): 46–49. ISSN 0971-1929. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-08-21. สืบค้นเมื่อ 2015-10-23. Today, masturbatory act is considered as a healthy practice when done in private and an offence if done in the public in most of the countries.
  7. Aldo Poiani (19 August 2010). Animal Homosexuality: A Biosocial Perspective. Cambridge University Press. ISBN 978-1-139-49038-2.
  8. "Breeding Soundness Examination of the Stallion". Petplace.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 September 2011. สืบค้นเมื่อ 29 May 2011.
  9. Bagemihl, Bruce (1999). Biological Exuberance: Animal Homosexuality and Natural Diversity. St. Martin's Press. ISBN 0-312-19239-8. สืบค้นเมื่อ 21 October 2015.
  10. Keesling, Barbara (November 1999). "Beyond Orgasmatron". Psychology Today. สืบค้นเมื่อ 29 July 2006.
  11. James, Susan Donaldson (04-09-2009). "Female Orgasm May Be Tied to 'Rule of Thumb'". abcnews. สืบค้นเมื่อ 02-01-2018. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |access-date= และ |date= (help)
  12. Koedt, Anne (1970). "The Myth of the Vaginal Orgasm". Chicago Women's Liberation Union. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-11-04. สืบค้นเมื่อ 18 November 2010.
  13. The Kinsey Institute Data from Alfred Kinsey's studies เก็บถาวร 26 ตุลาคม 2007 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Published online.
  14. 40 วิธีการชักว่าว | รวมวิธีการช่วยตัวเอง สำหรับผู้ชาย
  15. 15.0 15.1 "Advanced Masturbation". 22 October 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-06-12. สืบค้นเมื่อ 11 July 2009."The Full Fist Masturbation Technique" and "The Thumb-Forefinger Masturbation Technique"
  16. Confidential, Kinsey. "Prone masturbation a threat?". Indiana Daily Student. สืบค้นเมื่อ 30 March 2017.
  17. "เสียวOutdoor" เทรนด์อันตรายชาวสีรุ้ง
  18. E. Heiby and J. Becker
  19. http://www.nowtoronto.com/minisites/loveandsex/2004/s_survey_results.php
  20. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-12-15. สืบค้นเมื่อ 2006-06-01.
  21. "พบชายไทย 1 ใน 100 เจ้าโลกโค้งผิดรูป ชี้โค้งเกิน 45 เปอร์เซ็นต์เซ็กซ์มีปัญหาต้องผ่าตัด". ผู้จัดการ. 2008-08-06. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-11-07. สืบค้นเมื่อ 2008-08-05.
  22. Masturbation 'cuts cancer risk'

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]