ข้ามไปเนื้อหา

กะเพรา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ แก้ไขการจำแนกนี้
อาณาจักร: พืช
Plantae
เคลด: พืชมีท่อลำเลียง
Tracheophytes
เคลด: พืชดอก
Angiosperms
เคลด: พืชใบเลี้ยงคู่แท้
Eudicots
เคลด: แอสเทอริด
Asterids
อันดับ: กะเพรา
Lamiales
วงศ์: วงศ์กะเพรา
Lamiaceae
สกุล: สกุลกะเพรา-โหระพา
Ocimum
L.
สปีชีส์: Ocimum tenuiflorum
ชื่อทวินาม
Ocimum tenuiflorum
L.
ชื่อพ้อง[1]
  • Geniosporum tenuiflorum (L.) Merr.
  • Lumnitzera tenuiflora (L.) Spreng.
  • Moschosma tenuiflorum (L.) Heynh.
  • Ocimum anisodorum F.Muell.
  • Ocimum caryophyllinum F.Muell.
  • Ocimum hirsutum Benth.
  • Ocimum inodorum Burm.f.
  • Ocimum monachorum L.
  • Ocimum sanctum L.
  • Ocimum scutellarioides Willd. ex Benth.
  • Ocimum subserratum B.Heyne ex Hook.f.
  • Ocimum tomentosum Lam.
  • Ocimum villosum Roxb. nom. illeg.
  • Plectranthus monachorum (L.) Spreng.

กะเพรา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Ocimum tenuiflorum) เป็นไม้ล้มลุก แตกกิ่งก้านสาขา สูง 60-120 เซนติเมตร นิยมนำใบมาประกอบอาหารคือ ผัดกะเพรา กะเพรามี 3 พันธุ์ คือ กะเพราแดง กะเพราขาว และ กะเพราลูกผสมระหว่างกะเพราแดงและกะเพราขาว[2]

ชื่อสามัญ

กะเพรามีชื่อสามัญอื่นอีกคือ[3]

ลักษณะ

เป็นไม้พุ่มเตี้ยความสูงประมาณ 1-3 ฟุต ต้นค่อนข้างแข็ง แตกกิ่งก้านสาขามาก ก้านเป็นขน ก้านใบยาว รูปใบเรียว โคนใบรูดในลักษณะเรียวปลายมนรอบขอบใบเป็นหยัก พื้นใบด้านหน้าสีเขียว หรือแดงแก่กว่าด้านหลัง ซึ่งมีกระดูกใบนูนเห็นได้ชัด ดอกออกเป็นช่อตั้งขึ้นคล้ายฉัตร ออกบริเวณปลายยอดและปลายกิ่ง ดอกย่อยมีขนาดเล็ก รูปคล้ายระฆัง กลีบดอกมีทั้งชนิดสีขาวลายม่วงแดงและสีขาว เมล็ดอยู่ภายในกลีบ กลีบเลี้ยงสีม่วง ผลแห้งแล้วแตกออก เมื่อเมล็ดแก่สีดำ เมื่อนำไปแช่น้ำเปลือกหุ้มเมล็ดพองออกเป็นเมือก

การนำไปใช้

สำหรับการนำเอากะเพราไปปรุงอาหารนั้น ส่วนมากมักจะนิยมนำไปปรุงในอาหารไทยหลากหลายเมนูซึ่งจะต้องเลือกเฉพาะส่วนใบเท่านั้น สำหรับความแตกต่างระหว่างกะเพราขาวและกะเพราแดงนั้นจะเป็นเรื่องของกลิ่นที่มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดว่ากะเพราแดงจะมีกลิ่นฉุนแรงกว่า เวลาประกอบอาหารแล้วจะหอมแรงกว่า ขึ้นอยู่ที่ความชอบของผู้ทำว่าชอบใช้ใบกะเพราแบบไหน

สรรพคุณ

  • ใบ บำรุงธาตุไฟธาตุ ขับลมแก้ปวดท้องอุจจาระ แก้ลมตานซาง แก้จุกเสียด แก้คลื่นเหียนอาเจียน แก้โรคบิด และขับลม
  • เมล็ด เมื่อนำไปแช่น้ำเมล็ดจะพองตัวเป็นเมือกขาว ใช้พอกบริเวณตา เมื่อตามีผง หรือฝุ่นละอองเข้า ผงหรือฝุ่นละอองนั้นก็จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาเรานั้นช้ำอีกด้วย
  • ราก ใช้รากที่แห้งแล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ[4]
  • น้ำสกัดทั้งต้นมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ในใบมีฤทธิ์ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมันและลดอาการจุกอก[5]
  • ใบและกิ่งสดเมื่อนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการต้มกลั่น (hydrodistillation) ได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08-0.10 ซึ่งมีราคา 10,000 บาทต่อกิโลกรัม[6]
  • แก้ลม ขับลม จุกเสียดในท้อง เป็นยาตั้งธาตุ แก้ปวดท้อง ท้องขึ้น ใช้รักษาโรคของเด็ก คือเอาใบกะเพรามาตำละลายกับน้ำผึ้ง หยอดให้เด็กแรกเกิดกินเรียกว่าถ่ายขี้เถ้า หรือตำแล้วบีบเอาน้ำผสมกับมหาหิงค์ ทารอบสะดือ แก้ปวดท้องของเด็ก ปรุงเป็นยาผงส่วนมากจะใช้เฉพาะใบ รากแห้งชงกับน้ำร้อนดื่มแก้ธาตุพิการได้ดี เป็นยากันยุง และใบกับดอกผสมปรุงอาหาร[7]
  • เป็นยาขับลมแก้ปวดท้อง ท้องเสีย และคลื่นไส้อาเจียน โดยใช้ยอดสด 1 กำมือ ต้มพอเดือด ดื่มเฉพาะส่วนน้ำ พบว่าฤทธิ์ขับลม เกิดจากน้ำมันหอมระเหย และสาร Eugenol มีฤทธิ์ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมันและลดอาการจุกเสียด[8]

อ้างอิง

  1. "The Plant List: A Working List of All Plant Species". สืบค้นเมื่อ 13 January 2015.
  2. กะเพรา,กะเพราขาว,กะเพราแดง,กะเพราสรรพคุณ,การปลูกกะเพรา[ลิงก์เสีย]
  3. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เก็บถาวร 1 พฤษภาคม 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เต็ม สมิตินันทน์ สำนักงานหอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พ.ศ. 2549
  4. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 สิงหาคม 2009. สืบค้นเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2007.
  5. http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=69778&NewsType=2&Template=1
  6. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 มีนาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 2 กันยายน 2010.
  7. "กะเพราแดง". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2015.
  8. พินิจ จันทร (16 กุมภาพันธ์ 2022). "สมุนไพรพิกัดไทย (2)". เดอะไทยเพรส.

แหล่งข้อมูลอื่น

วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ Ocimum tenuiflorum