ดาร์ธ เวเดอร์
ดาร์ธ เวเดอร์ | |
---|---|
ตัวละครใน สตาร์ วอร์ส | |
ปรากฏครั้งแรก | สตาร์ วอร์ส (ค.ศ. 1977) |
สร้างโดย | จอร์จ ลูคัส |
แสดงโดย |
อื่น ๆ
|
ให้เสียงโดย |
อื่น ๆ
|
ข้อมูลตัวละครในเรื่อง | |
ชื่อเต็ม | อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ |
อาชีพ |
|
สังกัด | |
ครอบครัว |
|
อาจารย์ |
|
ลูกศิษย์ | อาโซกา ทาโน |
ดาวบ้านเกิด | ทาทูอีน |
ดาร์ธ เวเดอร์ (อังกฤษ: Darth Vader) เป็นตัวละครสมมติตัวหนึ่งในเรื่องแต่งชุด สตาร์ วอร์ส มีบทบาทสำคัญเป็นตัวร้ายหลักในไตรภาคเดิมของภาพยนตร์ชุดนี้ และในฐานะ อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ (อังกฤษ: Anakin Skywalker) เขาเป็นตัวเอกหลักในไตรภาคต้น และปรากฏตัวในเนื้อหาในจักรวาลขยายอีกจำนวนมาก จอร์จ ลูคัส ผู้สร้างแฟรนไชส์สตาร์ วอร์ส ได้หลายได้กล่าวถึงภาพยนตร์หกภาคแรกของแฟรนไชส์ว่าเป็น "โศกนาฏกรรมของดาร์ธ เวเดอร์"[1] ตัวละครนี้ได้รับการพิจารณาว่าเป็น "ตัวร้ายอันดับหนึ่งในวงการภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล"[2][3][4] ลักษณะเด่นของเขาคือ นักรบในชุดเกราะสีดำสนิท เสียงหายใจอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมด้วยกระบี่แสงสีแดง เป็นอาวุธคู่กาย อนึ่งชุดเกราะของดาร์ธเวเดอร์นั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่หลายเวอร์ชันในแต่ละภาคที่เขาปรากฎตัว
ประวัติ
[แก้]ชีวิตในช่วงต้น (ปีที่ 19 ก่อนยุทธการยาวิน)
[แก้]ข้าเป็นบุคคล และมีชื่อว่าอนาคิน!
— อนาคิน สกายวอล์คเกอร์พูดกับแพดเม่ อมิดาล่า, Star Wars Episode I: The Phantom Menace
อนาคิน สกายวอล์คเกอร์เกิดในปีที่ 42 ก่อนยุทธการยาวิน ตามที่กล่าวไว้ในงานด้านประวัติศาตร์ของโวเรน นาอัล ดาวบ้านเกิดของเขาคือทาทูอีน แต่ตัวอนาคินเองบอกว่าเขามาอยู่ที่ดาวแห้งแล้งนี้เมื่อายุได้สามปี มารดาของอนาคิน ฉมี สกายวอล์คเกอร์ บอกว่าลูกชายของเธอเกิดมาโดยไม่มีบิดา แต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ มันคือทฤษฎีของอาจารย์เจไดไควกอน จินที่ว่าเจตจำนงค์ของพลังที่ทำให้เขาเกิดขึ้นมา ในตอนนั้น สกายวอล์คเกอร์และมารดาของเขากลายเป็นทาสของการ์ดุลลา เดอะ ฮัทท์ หลายปีต่อมา การ์ดุลลาต้องเสียเด็กชายและแม่ของเขาในการพนันการแข่งขันพ็อดเรซซิ่งกับชาวทอยดาเรี่ยนชื่อวัทโต[5]
ถึงแม้จะยังเยาว์วัย แต่สกายวอล์คเกอร์ก็มีชื่อเสียง ในด้านการประดิษฐ์และซ่อมแซมเครื่องกล หลักฐานที่ชัดเจนคือหุ่นการทูตที่ชื่อซี-ทรีพีโอ และยานพ็อดเรซเซอร์ของเขา ทั้งสองสิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากเศษซากเครื่องจักร ด้วยตัวเขาเองในวัยเพียงเก้าปี
เขาเป็นเด็กมหัศจรรย์ สกายวอล์คเกอร์มีความเป็นเลิศในคณิตศาสตร์และวิศวกรรม แต่เขาก็กล้าหาญและชอบผจญภัย เขามักที่จะเสี่ยงตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่ค่อยคำนึงถึงผลที่จะตามมา เมื่อเขามีอายุได้ห้าปี สกายวอล์คเกอร์ประมาณทะเลทรายขนาดยักษ์เพื่อต้อนฝูงแบนธาร์ออกจากนักล่า แม้ว่าส่วนมากจะตายไปเพราะการขาดอาหารและความร้อน บางช่วงต่อมา ขณะที่ทำการต่อรองกับจาว่า สกายวอล์คเกอร์ได้ช่วยมนุษย์ทรายที่บาดเจ็บจนกระทั่งพวกของเขามาช่วยนำตัวไป ไม่นานก่อนการแข่งขันบูนทาอีฟคลาสสิก สกายวอล์คเกอร์ เพื่อนของเขาชื่อคิทส์เตอร์ บาไน และเพื่อน ๆ อีกมากมายถูกจับไปเพื่อที่นำไปขายให้กับการ์ดุลลา อนาคินและเพื่อนของเขาได้ปลอมตัวเป็นชาวจาว่าและแอบเข้าไปที่ดินของการ์ดุลลาเพื่อปลดปล่อยพวกเขา
เมื่ออายุได้แปดปี สกายวอล์คเกอร์ประสบการณ์กับซิธเป็นครั้งแรก ขณะที่ค้นในกองขยะของวัทโต เขาพบดรอยด์สงครามโบราณ เขาหวังที่จะกู้ข้อมูลมาให้วัทโต สกายวอล์คเกอร์เกิดเปิดโฮโลแกรมของดรอยด์ขึ้น มีเสียงกรีดร้องและร้องไห้ที่มีคำแปลก ๆ ที่พูดถึง "ซิธ" ด้วยความไม่เข้าใจ สกายวอล์คเกอร์รีบไปถามคนที่เหล่านักบินขับไล่ของสาธารณรัฐ ผู้ที่เคยเล่าให้เขาฟังถึงนางฟ้าจากดวงจันทร์อีโกครั้งก่อน นักอวกาศผู้นี้ตกตะลึง บอกกับอนาคินถึงเรื่องของซิธที่ได้ต่อสู้กันเองจนถึงจุดจบของพวกเขา เขาพูดถึงความเชื่อที่ว่ามีซิธลอร์ดคนหนึ่งรอดชีวิตและทำให้นิกายยังคงอยู่ถึงทุกวันนี้ สกายวอล์คเกอร์น้อยได้รู้ถึงสิ่งที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขาในอนาคต
การค้นพบ
[แก้]ลูก บ้านแม่อยู่นี่ อนาคตอยู่นี่ ถึงคราวที่ลูกต้องตัดใจแล้ว
— ฉมี สกายวอลค์เกอร์, Star Wars Episode I: The Phantom Menace
ในปีที่ 32 ก่อนยุทธการยาวิน ชีวิตของสกายวอล์คเกอร์ได้เปลี่ยนไปตลอดกาล ขณะที่ทำงานในร้านของวัทโต สกายวอล์คเกอร์พบกับอาจารย์เจไดไควกอน จิน จาร์ จาร์ บิงค์ส อาร์ทู-ดีทู และหญิงสาวชื่อแพดเม่ อมิดาล่า หญิงสาวที่ทำให้อนาคินหลงรักตั้งแต่แรกเห็น จนเอ่ยปากถามเธอว่า เธอเป็นนางฟ้าหรือเปล่า ซึ่งอมิดาลาผู้นี้หาใช่นางฟ้าไม่ หากแต่เป็นราชินีแห่งนาบูที่ปลอมตัวเป็นสาวใช้
เมื่อพายุทรายเริ่มก่อตัว สกายวอล์คเกอร์เสนอให้เพื่อนใหม่ของเขาไปพักที่บ้านของเขากับแม่ก่อน ที่นั่น จินและอมิดาล่าเล่าถึงถึงปัญหาที่พวกเขาต้องเจอและลงจอดบนทาทูอีนขณะที่เดินทางไปคอรัสซัง เพราะไฮเปอร์ไดรฟ์ที่ชำรุดของพวกเขาให้สกายวอล์คเกอร์ฟัง ด้วยความเห็นใจ สกายวอล์คเกอร์อาสาที่จะเข้าแข่งขันพ็อดเรซเซอร์ และเสี่ยงต่ออันตรายอย่างมากในการแข่ง รางวัลที่ได้ในการชนะจะทำให้สกายวอล์คเกอร์สามารถซื้อส่วนที่ต้องนำไปซ่อมยานได้ แม้ว่าฉมีจะปฏิเสธ สกายวอล์คเกอร์บอกเธอว่า "ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในจักรวาลคือการที่ไม่มีใครช่วยเหลือผู้อื่น" ฉมียอมเห็นด้วยที่จะให้ลูกชายของเธอลงแข่งขัน
ก่อนที่จะเริ่มการแข่ง จินทำการวางเดิมพันกับวัทโต หากสกายวอล์คเกอร์ชนะ เด็กชายจะเป็นอิสระ อย่างไรก็ตาม แวทโตมีข้อแม้อย่างหนึ่ง—เขาจะเป็นคนเสี่ยงทายด้วยลูกเต๋าเอง หากเป็นสีน้ำเงิน สกายวอล์คเกอร์จะเป็นอิสระ หากเป็นสีแดง ฉมีก็จะเป็นอิสระ จริง ๆ แล้วมันเป็นสีแดง แต่จินใช้พลังผลิกมันให้กลายเป็นสีน้ำเงิน วัทโตมั่นใจว่าสกายวอล์คเกอร์ต้องแพ้ จึงรับข้อเสนอ เหตุผลที่เขาเลือกเช่นนั้นก็เพราะว่า ไม่มีมนุษย์คนใดที่ตอบสนองได้ดีพอกับพาหนะที่มีความเร็วขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม สกายวอล์คเกอร์มีความสามารถในพลัง เขาสามารถรู้ล่วงหน้าได้ ทำให้เขาเอาตัวรอดจากการแข่งขันได้ไม่ยาก ในตอนนั้น สกายวอล์คเกอร์ ผู้ที่ฝันจะเป็นเจได แต่ไม่มีความรู้เรื่องพลัง เชื่อว่าความรู้สึกทางพลังของเขาเป็นเพียงสัญชาตญาณที่บอกให้เขาทำอะไรเท่านั้นเอง
เพราะว่าสกายวอล์คเกอร์เอาชนะการแข่งขันได้ ทำให้ไควกอนชนะพนันกับแวทโต้ จึงได้รับสิทธิ์ปลดปล่อยทาส อย่างไรก็ตาม อา���ารย์เจไดไม่สามารถปลดปล่อยฉมีและอนาคินทั้งคู่ได้ ต้องเลือกคนใดคนหนึ่ง สกายวอล์คเกอร์หนุ่มจึงถูกบังคับให้เลือกระหว่างอยู่กับแม่ของเขา หรือเข้าสู่นิกายเจได สกายวอล์คเกอร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จนแม่ของเขาโน้มน้าวให้เลือกที่จะไปกับไควกอน ถึงแม้จะสัญญาว่าเขาจะกลับมาเพื่อปลดปล่อยแม่ของเขา หลังจากยุทธการนาบู ซึ่งสกายวอล์คเกอร์และเพื่อนใหม่ของเขาเข้าไปพัวพันในเหตุพิพาท และได้รับชัยชนะในที่สุด ขณะนั้นสกายวอล์คเกอร์หนุ่มในฐานะเจได ตั้งใจจะทำการปลดปล่อยแม่ของเขาด้วยตนเอง แม้ว่าท้ายสุดเธอจะเป็นอิสระจากแวทโต้ โดยการช่วยเหลือจากเจ้าของไร่ความชื้นชื่อคลี๊ก ลาร์ส[6] และแต่งงานกันอย่างเป็นทางการ ก่อนที่ฉมีจะถูกจับตัวไปโดยกลุ่มทัสเค็น เรเดอร์
หลังจากออกจากมอส เอสปา จินและสกายวอล์คเกอร์มุ่งหน้าไปที่ยาน แต่ถูกโจมตีโดยซิธลอร์ดดาร์ธ มอล ผู้ซึ่งพยายามจับตัวราชินีอมิดาล่า ขณะที่จินสู้กับซิธ สกายวอล์คเกอร์รีบวิ่งขึ้นยานไปเพื่อเตือนคนอื่นๆ ยานยกตัวขึ้นและช่วยจินเอาไว้ พวกเขาทิ้งทาทูอีนไว้เบื้องหลัง มุ่งหน้าสู่คอรัสซัง
ขณะเดินทางสู่คอรัสซัง สกายวอล์คเกอร์เริ่มสนใจในตัวอมิดาล่ามากขึ้น เขาได้มอบของชิ้นเล็ก ๆ ให้กับเธอเพื่อระลึกถึงเขา ไม่กี่ปีต่อมา อมิดาล่ายังคงสวมสิ่งนั้นในพิธีศพของเธอ[7]
เมื่อมาถึงคอรัสซัง สกายวอล์คเกอร์พบกับสภาสูงเจไดและถูกทดสอบในความเชื่อของจินที่ว่าอนาคินคือผู้ที่ถูกเลือก และสมควรได้รับการฝึกเป็นเจได พรสวรรค์ของสกายวอล์คเกอร์ยืนยันในความเชื่อของจิน แต่สภายังคงสงสัยอยู่ จินขอร้องให้ฝึกสกายวอล์คเกอร์หลังจากที่ศิษย์คนปัจจุบันของเขา โอบีวัน เคโนบี สำเร็จการทดสอบของเขา แต่คำขอของเขาถูกปฏิเสธ สกายวอล์คเกอร์อายุมากเกินไปที่จะเป็นพาดาวัน และสภาคิดว่าประสบการณ์ก่อนหน้าของเขาจะเป็นอุปสรรคในการฝึกของเขา โดยเฉพาะการที่เขามีความกลัวและความโกรธมากเกินไป เป็นสิ่งที่มาจากตอนที่เขาเป็นทาส ความรู้สึกที่เกิดจากตอนที่เขาจากแม่ของเขามา พวกเขาเชื่อว่าเขาอาจไม่ผ่านในเรื่องการระงับความรู้สึกซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในนิกายเจได เคโนบี ขณะที่ทึ่งในจำนวนที่มากของมิดิคลอเรี่ยน เขาก็เห็นด้วยในคำตัดสินของสภา ด้วยการไม่มีที่ไปนอกจากคอรัสซัง และไม่มีทางกลับไปทาทูอีน สกายวอล์คเกอร์ไปตามเพื่อนใหม่ของเขาในภารกิจปลดปล่อยนาบู
ท้ายสุด สกายวอล์คเกอร์ได้ต่อสู้ในยุทธการนาบูในการการรบยานขับไล่เหนือดาว หลังจากที่เข้ารบโดยไม่ได้ตั้งใจ สกายวอล์คเกอร์สามารถทำลายยานควบคุมดรอยด์ได้ด้วยตัวเอง ทำให้กองกำลังของสมาพันธ์การค้าหยุดทำงานและได้ช่วยกองทัพของชาวกันแกนไว้จากหายนะ
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะต้องแลกมาด้วยการตายของจิน ถูกฆ่าโดยดาร์ธ มอล อาจารย์ได้ขอให้โอบีวันฝึกอนาคินให้สำเร็จก่อนที่เขาจะตาย ซึ่งเคโนบีสัญญาว่าจะทำให้สำเร็จ สภาเห็นด้วยในการให้โอบีวันเริ่มฝึกอนาคิน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะคิดว่าสกายวอล์คเกอร์นั้นเป็นนักเรียนที่ยากเกินไปที่เคโนบีจะรับมือไหว
ขณะเดียวกัน พัลพาทีน สมุหนายกคนใหม่ของสาธารณรัฐ ได้สัญญาว่าเขาจะเฝ้าดูการเป็นเจไดของสกายวอล์คเกอร์อย่างจดจ่อ [5] นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ยาวนานระหว่างเจไดหนุ่มกับผู้ปกครองใหม่ของสาธารณรัฐ
วัยหนุ่ม (ปีที่ 32 - 22 ก่อนยุทธการยาวิน)
[แก้]"เขามีทักษะที่ยอดเยี่ยม"
"แต่เขายังต้องเรียนรู้อีกมาก อาจารย์ ความสามารถของเขาทำให้เขา…ทรนง— เมซ วินดูและโอบีวัน เคโนบี, Star Wars Episode II: Attack of the Clones
ในช่วงวัยรุ่น อนาคินมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคม เป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน จากทาส มาเป็นดาวรุ่งในนิกายเจได ความสามารถและพรสวรรค์ของเขาทำให้เขาอยู่เหนือกว่าเพื่อนฝูง และมันทำให้เขาห่างเหินจากนักเรียนคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน อนาคินชอบอวดดี และทำผิดกฏหลายครั้ง แต่ก็ยังให้ความภักดี และจริงใจต่อนิกายอยู่เสมอ สำหรับเขาโอบีวันเป็นเสมือนพ่อของเขา เขาปราดเปรื่องเหมือนอาจารย์โยดา และทรงพลังเหมือนอาจารย์วินดู แต่เขาเองก็รู้ดีว่าตนเหนือกว่าเคโนบีในหลาย ๆ ด้าน และคิดไปเองว่าเคโนบีรั้งเขาเอาไว้ ความสัมพันธ์ของเขากับอาจารย์นั้นซับซ้อน และขัดแย้ง แม้แต่ตัวโอบีวันเองก็สงสัยเสียด้วยซ้ำ ว่าเขาจะสามารถฝึกอนาคินได้สำเร็จหรือไม่ ซึ่งความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่อนาคินไม่ต้องการ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตชีวิตของเขา ด้วยความสิ้นหวัง เขาได้หันไปหาที่พึ่งอีกคนแทน สมุหนายกพัลพาทีน
เป็นไปได้ที่เขาทำให้ข้านึกถึงตอนที่อายุเท่าเขา ยะโส ใจร้อน ทรนง ข้าตระหนักว่าความอ่อนน้อมเป็นสิ่งสูงส่งในความดี สิ่งที่ไม่สามารถเลือกเองได้ หากชะตากรรมกำลังมองหาบางอย่างเพื่อทำให้สกายวอล์คเกอร์ถ่อมตน ข้าจะเป็นคนอาสาเอง
— เคาท์ดูกู, Yoda: Dark Rendezvous
เมื่อความเป็นเพื่อนของอนาคินกับพัลพาทีนดำเนินไปในช่วงแรกๆ สมุหนายกพูดอย���างเห็นอกเห็นใจกับอนาคิน เป็นสิ่งที่เพิ่มความทรนงของเขา ดูเหมือนว่าการทำให้อนาคินมั่นใจใหม่อีกครั้งโดยพัลพาทีนจะทำให้เขาบกพร่องในการควบคุมตนเอง—ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาถูกตำหนิโดยโอบีวัน พัลพาทีนจะบอกอนาคินเสมอว่าเขาทำถูกแล้ว อนาคินจึงแทบไม่ได้ปรับปรุงพฤติกรรมของเขาเลย นั่นเป็นเหตุผลที่เขาถูกพัลพาทีนชักจูงเข้าด้านมืดได้ง่าย
ศิษย์ของโอบีวัน
[แก้]"อาจารย์โยดา ข้าสัญญากับไควกอนแล้ว ข้าจะฝึกอนาคิน...ไม่ว่าสภาจะเห็นด้วยหรือไม่"
"[…]เป็นอันว่าสภาเห็นด้วยกับเจ้า ยอมให้รับสกายวอล์คเกอร์ เป็นศิษย์"— โอบีวัน เคโนบีและโยดา, Star Wars Episode I: The Phantom Menace
ความสัมพันธ์ของอนาคินและโอบีวัน มีจุดเริ่มต้นที่ไม่ราบรื่นนัก โอบีวันไม่เพียงแต่เล็งเห็นศักยภาพของเขา แต่คิดว่าเขาอันตรายด้วยซ้ำไป เหตุผลเดียวที่เขาฝึกสอนอนาคินนั้น เป็นเพราะคำสั่งเสียก่อนตายของไควกอนผู้เป็นอาจารย์ เขามองว่ามันเป็นหน้าที่อันใหญ่หลวง แม้ว่าโอบีวันเองจะไม่คิดว่าเขามีความรู้มากพอจะสอนอนาคินได้ ในอีกทางหนึ่ง อนาคินรู้ว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่น และเพราะความแตกต่าง อนาคินจึงมักปลีกตัวจากคนอื่น อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังให้ความเคารพและจริงใจต่อโอบีวัน เพราะสำหรับเขา อาจารย์เป็นเสมือนพ่อที่เขาไม่เคยมี ในเวลาไม่นาน อาจารย์และศิษย์ก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น เมื่ออนาคินเข้าสู่วัยหนุ่ม
ขณะอยู่ที่คอรัสซัง อนาคินยังคงหลงใหลในเครื่องจักรไม่เปลี่ยนแปลง และที่วิหารเจไดก็เป็นที่ที่เขาสร้างดรอยด์ขึ้นมา เขายังชอบผจญภัยและหาความสนุกในวัยสิบสองปี เขาได้สร้างยานแข่งขึ้นมา และแอบลงแข่งในสนามแข่งที่ใต้เมืองกาแลกติก ในการแข่งครั้งหนึ่งเขาเกือบถูกฆ่าก่อนที่โอบีวันจะมาพบเขา
ประมาณปีที่สามในการฝึกของเขา อนาคินและโอบีวันได้รับภารกิจแรกให้สืบสวนผู้นำลัทธิชื่อคัด ชุน ชุนเรียกตนเองว่าอูนิ นำกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกตนเอง บิดาของคัด วอกซ์ ชุน หัวหน้าของลัทธิถูกฆ่าเมื่อโอบีวันและอนาคินมาทำการสืบสวน ต่อมา คัดยกโทษให้โอบีวันสำหรับสิ่งที่พวกเขาทำลงไป
ภารกิจต่อไปนั้นพวกเขาได้ไปเยือนดาวโซนาม่าซีคอทเพื่อตามหาอัศวินเจไดเวอร์เกียร์ ผู้ที่ซึ่งหายไปขณะทำภารกิจบนดาว พวกเขาไม่รู้เลยว่าถูกตามรอยโดยวิลฮัฟฟ์ ทาร์กินและไรธ์ ไซนาร์ ซึ่งมาเอาประโยชน์จากเทคโนโลยียานขับไล่อันทันสมัยของโซนาม่าซีคอท สร้างมันให้มีอัตราที่น่าทึ่งและคุณภาพสูงอย่างไม่น่าเชื่อ ที่บนดาวนั้น ชาวอาณานิคมได้ขาย "ซีด-พาร์ทเนอร์" (seed-partner) ซึ่งจะเชื่อมตัวเองกับผู้ที่มันอาศัยและทำให้ดาวดวงนี้สามารถดัดแปลงยานขับไล่ที่ไม่เหมือนใครออกมา อนาคินดูเหมือนจะสนใจในสิ่งนี้มากกว่าใคร ๆ และดังนั้น เขาก็มียานที่ใหญ่และซับซ้อนกว่า เขาตั้งชื่อให้ยานใหม่ลำนี้ว่า จาบิธา (Jabitha) เมื่อทาร์กินและไซนาร์มาถึง ดาวได้เปิดเผยต่อเจไดว่า เวอร์เกียร์ได้จากไปพร้อมกับ "ผู้มาจากแดนไกล" ที่ลึกลับเพื่อที่จะปกป้องโซนาม่าซีคอท อนาคินและโอบีวันอาจไม่สามารถช่วยเวอร์เกียร์ไว้ได้ แต่พวกเขาสามารถหยุดการโจมตีของทาร์กินได้
เมื่อเค ไดฟ์ ซึ่งเป็นผู้อารักขาทาร์กิน ได้พยายามฆ่าอนาคิน เด็กหนุ่มไม่สามารถควบคุมความโกรธได้และใช้พลังจิตเผาไดฟ์จากข้างใน โชคร้าย อนาคินถูกจับ และนำตัวไปให้ทาร์กิน อย่างไรก็ตาม โอบีวันก็สามารถทำลายยานธงของทาร์กินและช่วยอนาคินเอาไว้ได้ ในช่วงนี้เอง โซนาม่าซีคอทก็สามารถใช้ไฮเปอร์ไดรฟ์ของมันได้ และทำให้ดาวหายไป มุ่งหน้าสู่ดินแดนที่ไม่มีใครรู้จัก หลังจากนั้น ไซนาร์และทาร์กินกลับสู่สาธารณรัฐ โชคร้าย ยานของอนาคินพัง หลังจากสรุปภารกิจ โอบีวันและอนาคินก็กลับสู่คอรัสซัง
เอาต์บาวนด์ ไฟลท์
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ภารกิจที่อันดารา
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การเสียสละของยาดเดิล
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การติดตามเจนนา ซาน อาร์เบอร์ และ รอย เทดา
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เผชิญหน้ากับคู่ปรับเก่า
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เติบโต
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
วัยผู้ใหญ่ (ปีที่ 22 ก่อนยุทธการยาวิน - ปีที่ 4 หลังยุทธการยาวิน)
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
พบกับอมิดาลาอีกครั้ง
[แก้]เจ้าขอให้ข้ามีเหตุผล นั่นคือสิ่งที่ข้ารู้ว่าข้าทำไม่ได้ เชื่อข้าสิ ข้าอยากจะละทิ้งความรู้สึกนี้ไปได้ แต่ข้าทำไม่ได้
— สกายวอล์คเกอร์พูดกับอมิดาล่า, Star Wars Episode II: Attack of the Clones
หลายวันก่อนที่เข้าจะอายุได้ยี่สิบปี[8] มีการพยายามลอบสังหารแพดเม่ อมิดาล่าซึ่งตอนนี้ได้สละราชบัลลังก์ มาดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกเขตชอมเมลล์ โดยนักล่าเงินรางวัลแซม วีเซลล์ สกายวอล์คเกอร์ได้รับมอบหมายให้อารักขาและคุ้มกันอมิดาล่า กลับไปที่บ้านเกิดของเธอ เพื่อหลักเลี่ยงความสนใจพวกเขาจึงเดินทางแบบผู้อพยพ สกายวอล์คเกอร์ไม่ได้พบเธอมานับสิบปี แม้ว่าเขาจะเฝ้าคิดถึงเธอทุกวันตั้งแต่วันที่พวกเขาจากกันที่นาบู ความรักที่เขามีให้เธอเมื่อวัยเด็กของเขาได้เพิ่มมากขึ้น ในบทสนทนาสกายวอล์คเกอร์ได้เผยความรัก ไม่เชื่อในกระบวนการทางการเมือง และมุมมองของเขาที่ว่าต้องการผู้นำที่แข็งแกร่ง ภายในเวลาอันสั้นความหลงใหลของเขาก็หลายมาเป็นสิ่งที่มากกว่านั้นคือรัก ท้ายสุดอมิดาล่าเริ่มรู้สึกเช่นเดียวกันต่อเขา
ณ ที่หลบภัยของอมิดาล่า ที่ซึ่งทั้งสองได้จูบกันครั้งแรก ทั้งสองกลมเกลียวกันเป็นหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่มาจากสังคมที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม อมิดาล่าก็เลือกที่จะปฏิเสธ และสกายวอล์คเกอร์ก็ห่วงความรู้สึกของเธอเช่นกัน จึงยอมถอยออกมาก่อน และขอให้เก็บเรื่องระหว่างพวกเขาเป็นความลับ สำหรับอมิดาลา ความรับผิดชอบและหน้าที่มาเป็นอย่างแรกเสมอ ���ธอรู้ดีว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน จะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ราบรื่น การไล่ตามความสัมพันธ์ของสกายวอล์คเกอร์นั้น ขัดต่อกฎของเจไดอย่างร้ายแรง ซึ่งตามหลักการของเจไดนั้น หน้าที่ต้องมากก่อนความรู้สึกส่วนตัว และที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดคือ เชื่อมั่นในพลัง
กลับสู่ทาทูอีน
[แก้]"ข้าซ่อมอะไรก็ได้ทุกอย่าง แต่ทำไมข้าช่วยแม่ข้าไม่ได้ ทำไมแม่ข้าต้องตายด้วย"
"บางครั้งมีบางอย่างที่เราซ่อมแซมไม่ได้ แอนนี่"
"สักวันข้าจะต้องเป็นเจไดที่ทรงพลังที่สุด! ข้าให้สัญญา ข้าจะเรียนรู้แม้แต่วิธีที่จะหยุดคนไว้จากความตาย!"— สกายวอล์คเกอร์และอมิดาล่า, Star Wars Episode II: Attack of the Clones
สกายวอล์คเกอร์เจ็บปวดจากการที่เขาสามารถมองเห็นอนาคตของ ฉมี ผู้เป็นแม่ เพราะหลายเดือนก่อนที่จะพบอมิดาล่าอีกครั้ง และเพราะพวกเขา ขัดคำสั่งที่ให้ปกป้องอมิดาล่าด้วยการพาเธอไปยังทาทูอินเพื่อตามหาฉมี เมื่อลงจอดบนทาทูอินสกายวอล์คเกอร์ได้เดินทางไปที่ร้านของวัตโต้ ที่ซึ่งเขาพบว่าชาวไร่ความชื้นที่ชื่อคลีกก์ ลาร์ส ได้ปลดปล่อยและแต่งงานกับแม่ของเขา
ในขณะที่คุยกับลาร์ส เขาก็ได้รับรู้ถึงสิ่งที่น่ากลัวว่า ฉมีได้ถูกจับตัวไปโดยกลุ่มทัสเคนเรดเดอร์ เขารีบออกไปตามหาเธอทันทีโดยใช้สวูปไบค์ของโอเวน ลาร์ส คืนนั้นเองเจไดหนุ่มได้พบค่ายของทัสเคน และแอบเข้าไปในเต็นท์หลังหนึ่งที่ฉมีถูกมัดอยู่ ด้วยการใช้สัมผัสทางพลัง เขาแก้มัดเธอ แต่ก็สายไปเสียแล้ว ด้วยการที่ถูกทรมาน อดน้ำ และอดนอน ฉมี สกายวอล์คเกอร์ ได้เห็นหน้าลูกชายของเธอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะสิ้นใจตายในอ้อมกอดของเขา
สกายวอล์คเกอร์หนุ่มปล่อยให้การตายของแม่ จุดชนวนความโกรธของเขา เขาไล่ฆ่าชาวทัสเค่นเรเดอร์ทุกคนในกลุ่ม ไม่เว้นแม้แต่ "ผู้หญิงและเด็ก ๆ"[6] —:ซึ่งเขายอมสารภาพกับอมิดาล่าในภายหลัง
"ข้าฆ่าพวกมัน ข้าฆ่าพวกมันหมด ไม่ใช่แค่พวกผู้ชาย แต่ผู้หญิงและเด็กก็ด้วย พวกมันเหมือนกับสัตว์ และข้าฆ่าพวกมันเช่นเดียวกับสัตว์ !"
— สกายวอล์คเกอร์พูดกับอมิดาล่า, Star Wars Episode II: Attack of the Clones
เจไดมากมายรวมทั้ง โยดา และ ไควกอน จิน รับรู้ถึงการสังหารหมู่ เมื่อพลังมหาศาลของสกายวอล์คเกอร์หนุ่มถลำเข้าสู่ด้านมืด
อมิดาล่ากังวลกับสิ่งที่สกายวอล์คเกอร์ทำลงไป เธอเหนื่อยที่จะปลอบโยนเขาด้วยความเห็นใจ เพราะความโกรธจนหน้ามืดตามัวของเขา และตัดสินใจไม่บอกใครถึงสิ่งที่สกายวอล์คเกอร์ทำลงไป ด้วยความโกรธและเศร้าของเขา เขาจึงสาบานว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องทรงพลังจนหยุดคนไว้จากความตายได้
ยุทธการจีโอโนซิส
[แก้]เหล่าอัศวินเจได พร้อมกับกองทัพโคลนที่ได้รับการอนุมัติใช้ ภายใต้การนำของโยดา ขณะนั้นอาจารย์เจไดเมซ วินดูพาเจไดกว่า 200 นาย บุกไปช่วยโอบีวัน อนาคิน และ อมิดาล่า ในขณะที่เจไดกำลังเสียท่ากับพวกดรอยอยู่ โยดานำกองทัพโคลนส์มาช่วย ทำให้เจไดรอดตายและสงครามระหว่างพวกดรอยด์และโคลนได้อุบัติขึ้น และเจไดที่เหลือก็เข้าสู่สนามรบด้วย ขบวนการแบ่งแยกต่าง ๆ เมื่อเห็นว่ากำลังจะตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงถอนทัพกลับ เคาท์ดูกูได้หนีไปยังโรงเก็บยาน โอบีวันและอนาคินไล่ตามไป แต่อนาคินเกิดใจร้อนบุ่มบ่าม ปรี่เข้าไปหาเคาต์ดูกู จึงถูกพลังสายฟ้าซิธฟาดเข้าจัง ๆ จนสลบไป เหลือเพียงโอบีวันเพียงคนเดียวที่เข้าต่อสู้ด้วยกระบี่แสงกับดูกู แต่ด้วยความที่เคาต์ดูกู เป็นถึงอาจารย์ของไควกอน ผู้เป็นอาจารย์ของโอบีวัน ฝีมือและประสบการณ์ย่อมเหนือกว่ามาก โอบีวันจึงพลาดท่า โดนเคาท์ดูกูใช้ปลายดาบกรีดที่แขนและขา จนเคลื่อนไหวไม่ได้ ขณะที่ดูกูกำลังจะลงดาบปลิดชีวิตเคโนบี อนาคินที่ฟื้นขึ้นมาทันท่วงทีจึงพุ่งเข้ามากันดาบไว้ได้ และเปิดฉากดวลกระบี่แสงกับดูกู ช่วงแรกนั้นดูเหมือนว่าทั้งคู่จะสูสี แต่อนาคินกลับเสียหลักจนถูกเคาท์ดูกูตัดแขนขวาขาดไป ปรมาจารย์โยดาที่ตามมาสมทบ ก็ได้ดวลพลังกับเคาท์ดูกู แต่ทั้งคู่ฝีมือทัดเทียมกันไม่สามารถตัดสินได้ จึงประลองเพลงกระบี่แสง ทว่าเคาท์ดูกูอาศัยจังหวะหลบหนีไปได้
สมรสกับแพดเม่
[แก้]เมื่อได้รับชัยชนะ และได้รับการรักษาแขนขวา อนาคินพาแพดเม่กลับมายังนาบู และจัดพิธีแต่งงานกันอย่างลับ ๆ โดยมีนักบวชเป็นผู้ทำพิธีให้ พร้อมด้วยซีทรีพีโอและอาร์ทูดีทูเป็นพยาน
สงครามโคลน (ปีที่ 22 - 19 ก่อนยุทธการยาวิน)
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ยุทธการมูนิลินสท์และการประลองบนยาวิน 4
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ยุทธการจาบีม
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ยุทธการสไกเอ
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ยุทธการอาร์กอนาร์
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อัศวินเจได
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ยุทธการเรนดิลิและผลสืบเนื่อง
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ช่วยชีวิตฮัทท์
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
"มืออสูร"
[แก้]ในช่วงการโอบล้อมเขตรอบนอก โอบีวัน เคโนบีและอนาคินถูกย้ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง พวกเขาถูกส่งไปเป็นทีมในหลายสมรภูมิโดยบัญชาการกองยานโอเพ่นเซอร์เคิล ไม่นานก่อนยุทธการคอรัสซังโอบีวันและอนาคินถูกส่งไปที่ดาวน้ำแข็งชื่อเนลวาอันเพื่อตามหากรีวัส ชาวเนลวาอันเนียนทักทายอนาคินว่าเขาคือ"มืออสูร"และหมอผีของหมู่บ้านรอกรูลได้ส่งเขาไปตามหาและช่วยเหลือผู้คนของพวกเขาจากภัยคุกคามที่ได้พิชิตเหล่านักสู้ของพวกเขา อนาคินตกลงและเข้าไปในถ้ำที่ซึ่งเขาได้เห็นนิมิตของนักล่าผู้ยิ่งใหญ่ผู้ที่สูญเสียแขนของตนในตอนต่อสู้ อย่างไรก็ตามเขาก็ตอบโต้กลับและยังคงสังหารสัตว์ร้ายต่อไปด้วยแขนสีดำของเขา พลังของเขามากจนกระทั่งมันเกินที่จะควบคุม แขนสีดำได้กลายเป็นเขาวงกตที่ทำลายทุกสิ่งที่วีรบุรุษรัก
เสียงร้องของแพดเม่ตามหลังจากลางร้ายของเขาวงกตสีดำที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นแขนของยอดวีรบุรุษแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่น่ากลัว—ใบหน้าของนักรบมืดปริศนา ดาร์ธ เวเดอร์ ผู้ซึ่งอนาคินจะเป็นในอีกไม่นาน
เมื่ออนาคินฟื้นจากความฝันเขาได้ไปที่ห้องทดลองของสหภาพเทคโนโลยีที่ซึ่งพวกเขาได้ทำการทดลองกับชาวเนลวาอันเนียนโดยการทำให้พวกเขากลายเป็นสัตว์ร้ายที่มีแขนเป็นบลาสเตอร์ ด้วยการช่วยเหลือจากชาวเนลลาอันเนียนผู้ซึ่งไม่ได้ถูกเปลี่ยนร่าง เขากล่อมพวกนักรบที่ถูกทดลองให้ช่วยเขาทำลายโรงงานอันเป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียแขนไป นักวิทยาศาสตร์มากมายพยายามที่จะหลบหนี แต่อนาคินสังหารพวกเขาในทันทีที่เห็น หลังจากนั้น พวกชาวเนลวาอันเนียนเพศชายได้พากันถอดแขนบลาสเตอร์กันหมดและยกย่องให้อนาคินเป็นยอดนักรบ อนาคินได้พาชาวเนลวาอันเนียนเพศชายที่ถูกจับไปกลับไปยังหมู่บ้าน แม้พวกเขาจะไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้แต่ครอบครัวของพวกเขาต่างก็ยินดีต้อนรับโดยไม่ได้รังเกียจอะไรเลย อนาคินและชาวเนลวาอันเนียนเพศชายที่แขนขวาขาดต่างได้รับทำเข้าเฝือกแทนแขนขวาที่เสียไปพร้อมกับจัดงานเลี้ยงในหมู่บ้านกันอย่างมีความสุข
หลังจากเสร็จภารกิจที่ดาวเนลวาอันแล้ว โอบีวันและอนาคินได้ออกจากดาวเพื่อไปทำภารกิจเดิมคือตามล่ากรีวัสต่อไป อนาคินได้ทำแขนกลขึ้นมาใหม่โดยใช้สีดำ ต่อมาโอบีวันและอนาคินได้รับการติดต่อจากอาจารย์เมซ วินดูโดยผ่านทางจากอาร์ทูดีทูแจ้งว่า ดาวคอรัสซังได้ถูกสหภาพพิภพอิสระโจมตีและนายพลกรีวัสได้ลักพาตัวสมุหนายกพัลพาทีนไปจึงขอความช่วยเหลือ เมื่อรับรู้ว่า นายพลกรีวัสอยู่ที่คอรัสซัง อนาคินจึงได้สั่งให้กองยานมุ่งหน้ากลับไปยังดาวคอรัสซังเพื่อช่วยสมุหนายกพัลพาทีนและกำจัดนายพลกรีวัสให้จงได้
กลายเป็นเวเดอร์ (ปีที่ 19 ก่อนยุทธการยาวิน)
[แก้]ช่วยเหลือสมุหนายก
[แก้]ท่านหยุดข้าไม่ได้หรอก ดาร์ธเวเดอร์ จะทรงพลังกว่าเราทั้งสองคนเสียอีก
— ดาร์ธ ซีเดียส, สตาร์: วอร์ส เอพพิโซด 3 ซิธชำระแค้น
ไม่นานก่อนที่สงครามจะจบ ยุทธการคาโตเนโมอีเดียครั้งแรกได้ให้เบาะแสกับอนาคินและโอบีวันถึงดาร์ธ ซีเดียสผู้ลึกลับ เมซ วินดูได้ขึ้นนำบนคอรัสซังขณะที่สกายวอล์คเกอร์และเคโนบีนำการรุกในการโอบล้อมเขตรอบนอก การผจญภัยของทั้งสองทีมได้นำพวกเขากลับมาสู่คอรัสซังในช่วงการโจมตีคอรัสซังโดยพวกสมาพันธ์พอดีทำให้สกายวอล์คเกอร์และเคโนบีรีบกลับสู่คอรัสซังหลังจากที่พวกเขาไปเยือนดาวไทธ เมื่อกลับมาสู่คอรัสซังพวกเขาก็เริ่มเห็นภาพของดาร์ธ ซีเดียสเป็นเงาลาง ๆ การรบนั้นเป็นการไขข้อสงสัยในการสืบสวน วินดูได้เข้าร่วมการต่อสู้จนปะทะกับนายพลกรีวัสผู้ซึ่งสามารถหนีไปได้แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บก็ตาม กรีวัสยังได้จับตัวสมุหนายกพัลพาทีนไปที่ยานธงอินวิซิเบิลแฮนด์ของเขา
ก่อนที่กองยานของฝ่ายแบ่งแยกดินแดนจะสามารถหลบหนีออกจากคอรัสซังสกายวอล์คเกอร์และเคโนบีก็กลับมาถึงและพยายามที่จะช่วยสมุหนายกที่ถูกจับ พวกเขาเคลื่อนที่เข้าสู่สมรภูมิเดือดด้วยยานขับไล่ความเร็วสูงขนาดเบา อีทา-2 แอคติส-คลาส อัศวินเจไดทั้งสองได้ฟันฟ่าเพื่อไปให้ถึงยานธงจนกระทั่งขึ้นไปบนหอบังคับการของยาน ที่ซึ่งพัลพาทีนถูกจับเอาไว้เป็นตัวประกัน เมื่อเจไดทั้งสองพยายามพาตัวพัลพาทีนออกไป เคาท์ดูกูก็เข้ามาในห้องโดยมีบี2 ซูเปอร์แบทเทิลดรอยด์สองตัวคุ้มกันเพื่อเผชิญหน้ากับเจไดทั้งสอง
แต่คราวนี้ไม่เหมือนกับครั้งแรกที่เขาสู้กับดูกู สกายวอล์คเกอร์และเคโนบี ต่อสู้ด้วยกันเป็นทีม จนกระทั่งดูกูพยายามแยกทั้ง 2 ออกจากกันเพื่อให้รับมือง่ายขึ้น ดูกูใช้พลังบีบคอเคโนบี พร้อม ๆ กับที่เขาเตะอนาคินกระเด็นออกไป และโยนเคโนบีไปที่มุมห้อง แรงกระแทกทำให้เขาหมดสติ สกายวอล์คเกอร์พุ่งเข้ามา และสู้ต่อไปจนเสียการควบคุมอารมณ์ เมื่อดูกูยั่วความโกรธเขา เขาทุ่มพลังทั้งหมดต่อสู้กับมาคาชิดูกู แต่ครั้งนี้การฝึกฝนในรูปแบบที่ 5 ชิเอ็น เป็นผลสำเร็จ การดวลจบลงเมื่อสกายวอล์คเกอร์ อาศัยจังหวะตัดมือของดูกูทำให้เขาสู้ต่อไปไม่ได้
พัลพาทีนสั่งให้อนาคินสังหารดูกู หลังจากที่ลังเลที่จะไม่ทำตามคำขอของสมุหนายก สกายวอล์คเกอร์ได้ตัดศีรษะของดูกูด้วยกระบี่สองเล่มไขว้ที่คอของเขา อนาคินยังไม่รู้ว่าพัลพาทีนคือดาร์ธ ซีเดียส อนาคินเสียใจกับสิ่งที่เขาทำลงไปเพราะนั่นไม่ใช่วิถีของเจไดที่จะฆ่าผู้ที่ไม่สามารถต่อสู้ได้
อนาคินได้ปล่อยตัวพัลพาทีนและหาทางหลบหนี โดยแบกโอบีวันที่หมดสติกลับไปด้วย เขาไม่สนใจคำสั่งของพัลพาทีนที่บอกให้ทิ้งอาจารย์เจไดเอาไว้ อย่างไรก็ดีการหลบหนีของพวกเขานั้นไม่นานก็ถูกจับและนำตัวไปที่สะพานเดินเรือของนายพลกรีวัส ด้วยคำสั่งของสกายวอล์คเกอร์อ��ร์ทูดีทูก็ได้หันเหความสนใจทำให้อนาคินและเคโนบีเอากระบี่แสงคืนได้ พวกเขาต่อสู้กับดรอยด์ของกรีวัสจนเอาชนะได้ โชคไม่ดีที่กรีวัสสามารถหลบหนีไปได้ และทิ้งให้ยานธงตกลงสู่ดาวคอรัสซัง สกายวอล์คเกอร์สามารถบินยานและนำมันลงจอดได้อย่างปลอดภัยบนคอรัสซัง
เข้าสู่ด้านมืด
[แก้]"เจ้าตายตอนคลอดลูก "
"แล้วเด็กล่ะ"
"ข้าไม่รู้"
"มันเป็นแค่ฝัน"
"ข้าจะไม่ยอมให้ฝันนั้นเป็นจริง"— อนาคินสกายวอล์คเกอร์กับแพดเม่ อมิดาล่า, สตาร์: วอร์ส เอพพิโซด 3 ซิธชำระแค้น
เมื่อเขากลับสู่คอรัสซังสกายวอล์คเกอร์ได้พบกับภรรยาอีกครั้งซึ่งเธอได้บอกเขาถึงการตั้งครรภ์ของเธอซึ่งเขาดีใจมากที่ได้ยินข่าว อย่างไรก็ตามต่อมาเขาก็มีปัญหากับนิมิตของแพดเม่ที่ตายตอนคลอดลูก เพื่อช่วยชีวิตเธอสกายวอล์คเกอร์ต้องการความรู้จากอาจารย์ เป็นความรู้ที่ถูกห้ามโดยยกเว้นอาจารย์เจได เมื่อพัลพาทีนให้อนาคินเป็นตัวแทนของเขาในสภาเจไดเขาจึงมีสิทธิ์รวมว่าเป็นอาจารย์ ดังนั้นเขาจึงได้รับสิทธินอกเหนือกฎต้องห้ามนั้น อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเจไดคนอื่นๆ จะไม่เต็มใจในการให้อนาคินเข้าทำหน้าที่พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะมอบตำแหน่งอาจารย์เจไดให้กับอนาคิน หลังจากที่สกายวอล์คเกอร์ระบายความคับข้องใจกับเคโนบี เขาก็ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยแพดเม่เอาไว้
นอกจากเชื่อในพวกเขาทางสภายังให้สกายวอล์คเกอร์สอดแนมพัลพาทีนถึงแม้ว่าเคโนบีจะไม่เห็นด้วยต่อการตัดสินใจดังกล่าว นี่ทำให้สกายวอล์คเกอร์สูญเสียความเคารพในสมาชิกสภาและไม่เชื่อว่ามันจะช่วยภรรยาของเขาได้ ไม่นานสกายวอล์คเกอร์ก็ได้พบกับไอกูนิผู้ที่เห็นนิมิตที่อนาคินเข้าสู่ด้านมืด สกายวอล์คเกอร์ได้ปรึกษากับโยดาถึงฝันที่เขาเห็นแม้ว่าเขาไม่ได้ระบุตัวบุคคลก็ตาม โยดาไม่ได้ระวังถึงความรักของอนาคินที่มีต่ออมิดาล่า โยดาได้บอกเขาว่า"เพื่อฝึกตัวเจ้า...ต้องปล่อยวางทุกอย่างที่เจ้ากลัวที่จะสูญเสีย" อนาคินไม่พอใจกับการจัดการเช่นนั้น
เมื่อเขาไปพบกับพัลพาทีน สมุหนายกผู้ค่อย ๆ เริ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ของด้านมืดในตัวสกายวอล์คเกอร์ ด้วยการรู้ว่าเขากลัวการตายของอมิดาล่าเขาจึงเล่าเรื่องให้สกายวอล์คเกอร์ถึงเรื่องราวของซิธลอร์ดดาร์ธ เพลกัสผู้ที่ทรงพลังมากพอที่จะช่วยคนไว้จากความตายซึ่งทำให้อนาคินสนใจอย่างมาก จนกระทั่งในที่สุดพัลพาทีนก็ได้เปิดเผยตนเองให้อนาคินรู้ว่าเขาคือซิธลอร์ด ดาร์ธ ซีเดียส ทำให้อนาคินชักกระบี่แสงหมายจะสังหาร สุดท้ายอนาคินก็ฆ่าไม่ลง แต่ได้ไปรายงานวินดู แม้ว่าเขาจะเสียใจต่อทางเลือกมากพอ ๆ กับการที่คำพูดของพัลพาทีนที่ทรมานจิตใจของเขา หลังจากที่สั่งให้สกายวอล์คเกอร์อยู่รอที่วิหารเจไดเมซ วินดู ก็ไปพร้อมกับอาจารย์เจไดอีกสามคน—อาเกน โคลาร์ ซาซี ทิอิน และคิท ฟิสโต—เพื่อจับกุมตัวสมุหนายก พัลพาทีนได้ต่อสู้กับอาจารย์เจไดทั้ง 4 และมีสามคนที่ถูกสังหารแทบจะในทันที โดยเหลือเพียงวินดูที่วิชาดาบแก่กล้าที่สุดเท่านั้นที่ยังต้านไว้ได้ เขาและพัลพาทีนยังคงต่อสู้กันต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งอาจารย์เจไดได้เปรียบและจี้ดาบไปที่คอของซิธลอร์ด กลับไปที่วิหารเจไดในขณะนั้นเองสกายวอล์คเกอร์ก็กลัวว่าหากพัลพาทีนตาย โอกาสที่เขาจะช่วยแพดเม่เอาไว้ได้นั้นก็จะหายไปด้วย สกายวอล์คเกอร์หนุ่มจึงรีบรุดเข้าไปขัดขวาง ก่อนจะทำสิ่งเลวร้ายที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างลงไป
การตัดสินใจแห่งโชคชะตา
[แก้]เด็กหนุ่มที่เจ้าเคยฝึก...จากไปแล้ว ถูกกลืนกิน..โดยดาร์ธ เวเดอร์
— โยดาพูดกับโอบีวัน เคโนบี, สตาร์: วอร์ส เอพพิโซด 3 ซิธชำระแค้น
ด้วยการที่เขาต้องทรมานจากความคิดถึงการตายของแพดเม่หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากพัลพาทีน สกายวอล์คเกอร์จึงรีบออกจากวิหารเจไดและมุ่งหน้าสู่ที่ทำงานของพัลพาทีน เขาไม่แน่ใจนักว่าเขากำลังจะทำอะไร เขารู้เพียงแค่ว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่าง ด้วยความบังเอิญสกายวอล์คเกอร์ก็มาถึงพอดีกับตอนที่วินดูกำลังจะสังหารพัลพาทีน
พัลพาทีนโจมตีใส่วินดูด้วยพลังสายฟ้าขณะที่ร้องขอให้สกายวอล์คเกอร์ช่วยเขา ขณะที่วินดูกำลังใช้กระบี่แสงหักเหทิศทางสายฟ้าของพัลพาทีน เขาก็หันไปห้ามอนาคินไม่ให้หลงเชื่อคำของลอร์ดมืด จากการที่เขาถูกสายฟ้าของตัวเอง พัลพาทีนก็กลายสภาพเมื่อโดนพลังด้านมืดของตนเองย้อนกลับมาทำร้าย ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว และดวงตากลายเป็นสีเหลือง ผัวหนังซีดเป็นสีเทา วินดูเป็นฝ่ายได้เปรียบและต้องการที่จะสังหารพัลพาทีนและจบสิ้นพวกซิธ อย่างไรก็ตามสกายวอล์คเกอร์ขัดขวางเขาโดยกล่าวว่าพัลพาทีนต้องถูกนำตัวขึ้นศาลและการฆ่าเขาไม่ใช่วิถีของเจได สิ่งนี้ดูเหมือนว่าเขาเสียใจที่สังหารดูกูเมื่อก่อนหน้าในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันแต่ก็ดูเหมือนว่าเขากลัวที่จะสูญเสียโอกาสในการช่วยภรรยาของเขาไว้จากความตาย วินดูปฏิเสธสกายวอล์คเกอร์และพร้อมที่จะสังหารพัลพาทีนแต่อนาคินที่ตื่นกลัวชักกระบี่แสงออกมาและตัดมือขวาของวินดู ก่อนที่วินดูจะทันโต้ตอบพัลพาทีนก็ใช้พลังสายฟ้าส่งอาจารย์เจไดทะลุหน้าต่างสู่ความตาย
เมื่อรู้ว่าเขาได้ทำอะไรลงไปอนาคินกลับรู้สึกผิดและสงสัยในการกระทำของตน แต่ก็ไม่สามารถต้านทานพัลพาทีนได้ ผู้ซึ่งกล่าวว่าเขาได้เติมเต็มให้กับโชคชะตาของตน เขาขอให้สกายวอล์คเกอร์ยอมรับด้านมืดและมาเป็นศิษย์ของเขา อนาคินตกลงที่จะทำทุกอย่างที่พัลพาทีนต้องการโดยมีข้อแม้ว่าให้ช่วยแพดเม่ให้รอดชีวิต และเขายอมทำทุกอย่างที่พัลพาทีนสั่ง พัลพาทีนสัญญาว่าจะทำตามข้อแม้ แต่เขาบอกว่าไม่มีความสาม��รถที่จะหยุดความตายได้ จึงขออนาคิน สกายวอล์คเกอร์ก้าวเข้าสู่นิกายซิธ อนาคินยอมทำตามทุกอย่างต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอมเพื่อครอบครัวของเขา และซีเดียสก็มอบชื่อใหม่ให้กับเขา ดาร์ธ เวเดอร์
ดาร์ธ เวเดอร์ผงาด
[แก้]เจไดหนุ่มนามว่าดาร์ธ เวเดอร์ ผู้เคยเป็นลูกศิษย์ของข้า เขากลับช่วยจักรวรรดิตามล่ากวาดล้างอัศวินเจได เขาทรยศและฆ่าพ่อของเจ้า
— โอบีวัน เคโนบี, สตาร์: วอร์ส เอพพิโซด 4 ความหวังใหม่
- หลังจากที่ปวารณาตัวเป็นศิษย์คนใหม่ของพัลพาทีน หรือ ดาร์ธซีเดียส ด้วยความปรารถนาที่จะช่วยคนรัก ให้พ้นจากความตายที่เขาเห็นในนิมิต อนาคินจึงละทิ้งคำสอนเจไดทุกอย่างที่ร่ำเรียนมา และก้าวเข้าสู่วิถีแห่งพลังด้านมืด ในนามของ ดาร์ธ เวเดอร์์ อนาคินนำกองกำลังทหารโคลนเข้าบุกวิหารเจได เพื่อทำการกวาดล้างครั้งใหญ่ โดยเขาเชื่อว่านี่จะเป็นการจบสงครามอันยาวนาน และทำให้เขาได้มาซึ่งพลังอันยิ่งใหญ่ที่เอาชนะความตายได้
การบุกวิหารเจได
[แก้]อาจารย์สกายวอล์คเกอร์ พวกมันมีมากมายเหลือเกิน เราจะทำอย่างไรดี?
— เจไดเด็กซอร์ส แบนดีมพูดกับเวเดอร์, สตาร์: วอร์ส เอพพิโซด 3 ซิธชำระแค้น
พัลพาทีนบอกกับเวเดอร์ว่าเจไดทุกคนคือศัตรูของรัฐ รวมทั้งโอบีวัน เคโนบี และมันจะเป็นสงครามกลางเมืองที่ไม่รู้จบหากเจไดยังไม่ถูกทำลาย เวเดอร์ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ซิธ ซึ่งบอกกับเขาว่าหากต้องการพลังด้านมืดมากพอที่จะช่วยชีวิตอมิดาล่า เขาได้นำกองทหารที่ 501เข้าสู่วิหารเจไดและสังหารเจไดทุกคน เวเดอร์ทำโดยปราศจากคำถาม สังหารเจไดทุกคนรวมทั้งยังลิ่ง หรือเจไดเด็ก มียังลิ่งบางคนเข้าหาเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ โดยไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเข้าหาจุดจบ ความโหดร้ายที่ทำโดยเวเดอร์และกองทหารที่ 501 ส่งผลให้ควันไฟพวยพุ่งออกมาจากวิหารเจได สามารถมองเห็นได้จากตึกวุฒิสภา สิ่งนี้ได้เริ่มการกวาดล้างเจไดครั้งใหญ่
ภารกิจที่มุสตาฟาร์
[แก้]สงครามยุติแล้ว! ลอร์ดซีเดียสสัญญาว่าจะสงบศึก! เราแค่ต้องการ—
— คำพูดสุดท้ายของนูต กันเรย์, สตาร์: วอร์ส เอพพิโซด 3 ซิธชำระแค้น
ไม่นานหลังจากที่ทำการบุกวิหารเจไดสำเร็จเขาก็กลับไปหาอาจารย์ของเขาเพื่อคำสั่งต่อไป ซีเดียสได้สั่งารให้เวเดอร์เดินทางไปยังมุสตาฟาร์ที่ซึ่งเขาต้องไปสังหารสภาแบ่งแยกดินแดนและนำสันติมาสู่จักรวรรดิใหม่ เวเดอร์รับคำสั่ง ก่อนที่เขาจะเดินทางเขาไปพบอมิดาล่า และเล่าให้เธอฟังถึงภารกิจของเขาที่ต้องไปยุติสงคราม เมื่อเขากำลังจากไป เวเดอร์กล่าวว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิมและบอกให้เธออย่าไปไหน
เวเดอร์เดินทางสู่มุสตาฟาร์และใช้รหัสของซีเดียสเพื่อผ่านการรักษาความปลอดภัยของฝ่ายแบ่งแยกดินแดน เวเดอร์ทิ้งอาร์ทูดีทูให้รอที่ยานเพื่อให้ไม่มีใครบันทึกการกระทำของเขา เขาได้เข้าไปที่ห้องบัญชาการ ซึ่งผู้นำฝ่ายแบ่งแยกดินแดนอยู่ข้างในและปิดประตูทุกบานลง เพื่อไม่ให้สมาชิกคนใดหนีรอดออกไป ในตอนแรกผู้นำมากมายตอนรับเขาอย่างดีก่อนที่พวกเขาจะจำหน้าของอนาคินได้ ด้วยความแตกตื่น เวเดอร์เริ่มไล่สังหารสมาชิกสภาแบ่งแยกดินแดนทีละคน
หลังจากที่สังหารเหล่าสมาชิกทั้งหมด เขาก็หันไปที่คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ นูต กันเรย์ อดีตพันธมิตรของซีเดียสผู้ที่ได้ทำการรุกรานนาบูก่อนที่จะถูกเอาชนะโดยสกายวอล์คเกอร์เมื่อสิบสามปีก่อน ก่อนที่เขาจะตายกันเรย์ร้องของต่อเวเดอร์โดยอ้างว่าลอร์ดซีเดียสให้สัญญาพวกเขาถึงความสงบสุข อย่างไรก็ตามเวเดอร์ก็สังหารเขาโดยกล่าวว่า ลอร์ดซีเดียสหมายถึงให้เขาตายอย่างสงบต่างหาก ภารกิจของเขาเสร็จสมบูรณ์และซิธลอร์ดหนุ่มก็ก้าวออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไร
ที่ด้านนอกขณะเขากำลังมองภูมิประเทศภูเขาไฟที่ระเบิดออก และแสงอาทิตย์ที่น้อยนิดเต็มที อนาคินเสียใจกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไป เพราะเขารู้ดีว่ามันผิด และเขารู้ดีว่าตนได้มาไกลเกินจะถอยกลับแล้ว ความรู้สึกที่ไม่อาจซ่อนได้ไหลออกมาเป็นน้ำตาหยดสุดท้าย ขณะที่เขาคิดเช่นนั้นเขาก็จำได้ถึงคำสั่งของอาจารย์ให้รายงานทันทีเมื่อศัตรูพ่ายแพ้
การประลองบนมุสตาฟาร์และผลสืบเนื่อง
[แก้]"รักไม่ได้ช่วยเจ้า แพดเม่ มีเพียงพลังใหม่ของข้าเท่านั้นที่ทำได้"
"แต่มันต้องแลกด้วยอะไรล่ะ ตัวตนเจ้า เจ้าเป็นคนดีอย่าทำแบบนี้เลย!"— ดาร์ธ เวเดอร์พูดกับแพดเม่ อมิดาลา, สตาร์: วอร์ส เอพพิโซด 3 ซิธชำระแค้น
เมื่อเขาพบอมิดาล่าอีกครั้ง เวเดอร์ก็รู้ว่า เคโนบีได้บอกถึงการกระทำอันเลวร้ายของเขาที่วิหารเจไดต่อเธอ และเขายอมรับทุกข้อกล่าวหา อมิดาล่าพยายามที่จะใช้เหตุผลกับเขา เกลี้ยกล่อมให้เขาถอนตัวจากสาธารณรัฐ และหนีไปยังที่ห่างไกลเพื่อเลี้ยงดูบุตรกับเธอ เธอร้องขอให้เขากลับมาเป็นคนเดิม โดยสัญญาว่าเธอจะรักและดูแลเขาไม่เปลี่ยนแปลง แต่เวเดอร์ตอบกลับด้วยความทะนงตน คิดที่จะโค่นล้มพัลพาทีนเพื่อปกครองทุกอย่างเอง ทำให้เธอตกใจและหวาดกลัว เพราะพบว่าสามีของเธอได้เปลี่ยนไปอย่างกู่ไม่กลับ อมิดาล่าจึงกล่าวว่าเขาได้เดินไปบนทางที่เธอไม่สามารถตามไปได้อีกแล้ว แต่อมิดาล่าไม่ได้รับรู้ถึงการปรากฏตัวของเคโนบีที่ด้านหลังของยานเพื่อเผชิญหน้ากับเวเดอร์
เมื่อเห็นโอบีวัน อนาคินจึงเข้าใจผิดว่าอมิดาล่าได้ทรยศ และพาเคโนบีมาที่นี่เพื่อฆ่าเขา ด้วยความโกรธ และเสียใจ เขาเสียสติเผลอบีบคอภรรยาของเขาจนสลบไป และโทษเคโนบีว่าเป็นตัวต้นเหตุให้นางทรยศตน แต่เคโนบีบอกต่อเขาว่าเป็นเพราะตัวเขาเองต่างหาก เคโนบียังพยายามใช้เหตุผลกับอดีตศิษย์ของเขา แต่เวเดอร์ที่กำลังเดือดดาลไม่ยอมฟัง
"ท่านทำให้นางต่อต้านข้า!"
"เจ้าทำตัวเจ้าเองต่างหากล่ะ"
"ท่านพรากนางไปจากข้าไม่ได้"
"ความโกรธและความกระหายอำนาจของเจ้าต่างหากที่เอานางไป เจ้ายินยอมให้ดาร์คลอร์ด บิดเบือนใจเจ้า ในตอนนี้เจ้าได้กลายเป็นคนที่เจ้าเคยสาบานว่าจะทำลาย..."
"ไม่ต้องมาสอนข้าโอบีวัน ข้ามองทะลุคำลวงของเจได ข้าไม่ได้กลัวความมืดอย่างที่ท่านกลัว ข้าได้นำสันติ เสรีภาพ ความยุติธรรม และความมั่นคงมาสู่จักรวรรดิใหม่ของข้า!"
"จักรวรรดิใหม่ของเจ้ารึ ?"
"อย่าทำให้ข้าต้องฆ่าท่าน"
"อนาคิน ความภักดีของข้ามีต่อสาธารณรัฐ ต่อประชาธิปไตย!"
"ถ้าไม่ร่วมมือกับข้า ท่านก็คือศัตรู"
"ซิธเท่านั้นที่คิดแบบเผด็จการ ข้าจะทำสิ่งที่ต้องทำ"
"ก็ลองดู"— โอบีวัน เคโนบี พูดกับ ดาร์ธ เวเดอร์, สตาร์: วอร์ส เอพพิโซด 3 ซิธชำระแค้น
เวเดอร์และเคโนบีต่อสู้กันอย่างดุเดือดตลอดโรงงานเหมือง และที่ธารลาวาอันร้อนระอุเบื้องล่าง การต่อสู้จบลง ณ โขดหินบนลาวา ที่ซึ่งเคโนบีกระโดดขึ้นที่สูง ก่อนจะขอให้เวเดอร์หยุดเรื่องนี้ไว้ทั้งหมด และกลับสู่แสงสว่าง แต่ความโกรธที่บดบังสติจนหน้ามืดตามัว ทำให้อนาคินไม่สนใจว่าตนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และพยายามกระโดดขึ้นไปหมายจะจบชีวิตอาจารย์เก่า แต่ก็พลาดท่าถูกคมดาบของเคโนบีเข้าเต็ม ๆ ซึ่งทำให้ขาทั้งสองข้างและแขนซ้ายของเขาถูกตัดไป
ด้วยร่างกายที่บาดเจ็บและความสามารถทางพลังของเขาที่ลดลงอย่างมาก เขาพยายามคลานโดยใช้เพียงแขนกลข้างเดียว และเวเดอร์กับเคโนบีก็พูดกันไม่กี่ประโยค
"เจ้าเป็นผู้ที่ถูกเลือก เจ้าควรจะทำลายล้างซิธ ไม่ใช่เข้าร่วม! นำสมดุลมาสู่พลัง ไม่ใช่ทิ้งไว้ในความมืด!"
"ข้าเกลียดท่าน!"
"เจ้าเคยเป็นน้องข้า อนาคิน ข้ารักเจ้า!"— ดาร์ธ เวเดอร์และเคโนบี, สตาร์: วอร์ส เอพพิโซด 3 ซิธชำระแค้น
ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส เขาไม่สามารถที่จะขยับได้จึงไถลลงไปที่ขอบของธารลาวา และถูกไฟคลอก เคโนบีเก็บเอากระบี่แสงของสกายวอล์คเกอร์ขึ้นมาและทิ้งให้เวเดอร์ตาย ซึ่งภายหลังเขาได้เก็บกระบี่แสงเล่มนี้ไว้ จนกระทั่งถึงปียุทธการยาวิน และส่งมอบให้ลุค สกายวอล์คเกอร์ บุตรชายของอนาคิน เมื่อไฟเริ่มมอดลง ก็ปรากฏว่าเวเดอร์ยังคงรอดด้วยพลังและจิตใจที่เปี่ยมด้วยความอาฆาตของเขา เขาปีนขึ้นมาด้วยแขนกลพร้อมกับอาการบาดเจ็บสาหัส แรงแค้นและโทสะทำให้เขายังรอดชีวิต
ไม่นานหลังจากนั้นดาร์ธ ซีเดียสที่ตอนนี้ได้กลายเป็น จักรพรรดิคนใหม่ของจักรวรรดิกาแลกติก มาถึง และช่วยเขาเอาไว้ได้ทันเวลา เขานำเวเดอร์กลับสู่คอรัสซังด้วยกระสวยและซ่อมแซมร่างกายของเขา จักรพรรดิสั่งการให้ดรอยด์การแพทย์ไม่ใช้ยาสลบ ทำให้เขายังมีสติขณะที่ทำการผ่าตัด เพื่อที่ให้ความเจ็บปวดเพิ่มความแค้นต่อโอบีวันกับเขา เทคโนโลยีที่ใช้สร้างร่างกายของเขาเป็นแบบเดียวกับที่ใช้กับนายพลกรีวัส ถึงแม้ว่าเขายังคงทรงพลัง แต่พัลพาทีนก็รู้ว่าการบาดเจ็บของเวเดอร์ได้ลดความสามารถของเขาไปมาก ทันทีที่เขาฟื้นตัวในร่างกายไซบอร์ก เวเดอร์ก็ถามอาจารย์ของเขาถึงแพดเม่อมิดาล่า ภรรยาของเขา
"แพดเม่อยู่ไหน ปลอดภัยไหม เป็นอะไรหรือเปล่า!"
"ดูเหมือนว่าด้วยความโกรธ เจ้าได้ฆ่านาง!"
"ข้าไม่ได้ทำ! นางยังไม่ตาย ข้ารู้สึกได้!"— ดาร์ธ เวเดอร์และดาร์ธ ซีเดียส, สตาร์: วอร์ส เอพพิโซด 3 ซิธชำระแค้น
ชีวิตของเขาเหมือนตายทั้งเป็น สูญสิ้นความหวัง และแสงสว่างทั้งหมดในชีวิตดับวูบ เพราะคิดว่าตนได้ฆ่าแพดเม่ และลูกที่ยังไม่เกิด ซึ่งเป็นทุกสิ่งที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อ เวเดอร์ทำลายดรอยด์การแพทย์ และระเบิดพลังด้วยความโกรธทำให้ทั้งห้องเสียหายด้วยพลัง เขาทำลายการพันธนาการบนโต๊ะ และเดินอย่างทุกลักทุเลโดยมีเกราะที่หนักอึ้งห่อหุ้มตัวเขาอยู่ พร้อมตะโกนอย่างเจ็บปวด เมื่อปราศจากคนที่เขารักแล้ว เขาจึงเลือกที่จะทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง และใช้ชีวิตที่ยังเหลืออยู่เพื่อรับใช้จักรพรรดิต่อไป
เขาเป็นเครื่องจักรมากกว่ามนุษย์ ถูกบิดเบือนและชั่วร้าย
— โอบีวัน เคโนบี, สตาร์: วอร์ส เอพพิโซด 6 การกลับมาของเจได
เอกลักษณ์ของ ดาร์ธเวเดอร์ ทำให้สกายวอล์คเกอร์เปลี่ยนไปมาก เนื่องมาจากร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บและพิการ หมวกเกราะของเขารวมทั้งหน้ากากทำให้เขามองเห็นได้น้อยลง อวัยวะจักรกลทำให้เคลื่อนไหวได้ยาก และสร้างความหงุดหงิดให้กับเวเดอร์อย่างมากในช่วงแรก แต่ในที่สุ��เขาก็กลับมาต่อสู้ได้อีกโดยเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้เพื่อทดแทนการเคลื่อนที่อันบกพร่องของเขา ในฐานะดาร์ธ เวเดอร์ สกายวอล์คเกอร์กลายมาเป็นของล้ำค่าของจักรวรรดิโดยทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกฎ นักล่าเจได และจอมทัพในจักรวรรดิใหม่ของพัลพาทีน
รับใช้จักรพรรดิ
[แก้]เจ้าไม่อาจหยั่งรู้ถึงพลังอำนาจของด้านมืด ข้าต้องเชื่อฟังนายข้า
— เวเดอร์พูดกับลูกชายของเขา, สตาร์: วอร์ส เอพพิโซด 6 การกลับมาของเจได
ไม่นานหลังจากจักรวรรดิได้ถือกำเนิดเวเดอร์ก็ได้รับมอบหมายให้ตามหาวัตถุโบราณของซิธที่เรียกกันว่า เครื่องรางเมอเออ หลังจากที่ได้ซักถามแจงค์สเขาก็ได้รู้ถึงลังลึกลับที่ยานของเขากำลังบรรทุก เวเดอร์ได้เข้าขัดขวางการแลกเปลี่ยนโดยทำการติดต่อกับเฟน เพทัวริ นักประวัติศาตร์ที่มีชื่อเสียง เวเดอร์มองหาสิ่งที่บรรจุเครื่องรางและเจไดผู้ที่สวมใส่มันอยู่ชื่อเซเลส มอร์น เมื่อเธอพบว่าซิธกำลังครองกาแลกซี่เธอก็เข้าโจมตีเขาในทันที เวเดอร์บอกให้เธอมาเป็นศิษย์ของเขา แต่ก็ปล่อยให้เขาถูกครอบครองโดยวิญญาณของคาร์เนส เมอเออโดยไม่ได้ตั้งใจ เซเลสเปลี่ยนให้มนุษย์ทุกคนในบริเวณใกล้เคียงกลายเป็นตัวแรกกูลทำให้เขาต้องหนีไป เวเดอร์หน่ายกับการแย่งเครื่องรางโดยคำนึงว่าหากเขาต้องใช้มันเพื่อทำลายพัลพาทีน
หนึ่งปีต่อมาขณะที่เขากำลังรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บเวเดอร์ถูกบังคับให้กลับไปที่วิหารเจไดบนคอรัสซัง เขามาพบว่าผู้สืบสวนชื่อมาโลรัมมีปัญหากับผู้บุกรุก เวเดอร์หัวเราะเยาะมาโลรัมที่มีปัญหาในการจับตัวผู้บุกรุก เวเดอร์แนะนำให้มาโลรัมระเบิดวิหารเสียเพื่อให้แน่ใจว่าผู้บุกรุกตายแน่นอน ถึงแม้ว่าเขารู้ดีว่าผู้สืบสวนจะไม่แม้แต่พยายามทำมัน ทั้งสองยังทะเลาะกันเรื่องที่มาโลรัมไม่สามารถจัดการกับกองกำลังต่อต้านได้ เมื่อมาโลรัมกล่าวถึงสิ่งที่เขารู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นที่โพลิสแมสซา ซิธลอร์ดก็โมโหและใชัพลังบีบคอใส่เขาด้วยความโกรธ ผลของการที่มาโลรัมล้มเหลวในการจับผู้บุกรุก เวเดอร์ปล่อยให้ทั้งสองคนรอดตัวไป
ในปีเดียวกันเวเดอร์ได้เดินทางไปยังคาชีคเพื่อหาเจไดชื่อเคนโต เวเดอร์รู้สึกถึงบางคนที่ทรงพลังอยู่ในบริเวณอันใกล้โดยเชื่อว่านั่นคืออาจารย์ของเคนโต แต่กระบี่แสงของเขาถูกดึงออกจากตัวโดยลูกชายของเคนโต เขาหักคอของเจไดและสังหารสตอร์มทรูปเปอร์ที่พบเห็นเด็กชาย เขานำเด็กชายไปเลี้ยงและฝึกเขาอย่างลับๆ ให้เป็นศิษย์ของเขาโดยมีชื่อรหัสว่าสตาร์คิลเลอร์ ผู้ซึ่งต่อมาได้รับมอบหมายให้ตามล่าและทำลายผู้ทรยศและเจไดที่รอดชีวิต ศิษย์คนนี้เป็นส่วนหนึ่งในการหลอกล่อให้ศัตรูของพัลพาทีนเผยตัวออกมา
ไม่นานหลังจากนั้นเวเดอร์ได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิให้ไปที่ดาวซามาเรียที่ซึ่งได้เกิดจากก่อวินาศกรรมกับระบบคอมพิวเตอร์ที่นั่นจนเกิดความวุ่นวาย ขณะที่หาต้นตอของการก่อวินาศกรรมเขาก็ตรงเข้าหาเฟอรัส โอลินอีกครั้ง คนเดียวกับที่อยู่ในเหตุการณ์ที่วิหารเจไดก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามครั้งนี้โอลินได้รับการปกป้องจากจักรพรรดิและไม่สามารถถูกจับได้ หลังจากการพบกันครั้งนี้เวเดอร์ก็มีเรื่องมากมายให้คิด
ช่วงหนึ่งต่อมาเวเดอร์ได้รับหน้าที่ให้ไปที่กองกำลังรักษาการณ์บนเบลลาสซา อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาจัดการกับโรอัน แลนด์ส หนึ่งในกลุ่มต่อต้านและหนึ่งในผู้ทรยศของโอลิน จักพรรดิเข้ามายุ่งในนามของโอลินและสั่งการใหม่ให้เวเดอร์ก่อกวนกองกำลังรักษาการที่กำลังทำงานก่อสร้างในภูเขาบนเบลลาสซา ภารกิจแรก ๆ ของเวเดอร์มากมายถูกสั่งมาจากจักรพรรดิโดยตรง ภารกิจเหล่านี้ยังรวมทั้งการลงโทษโคลนคอมมานโดผู้ที่ขัดต่อคำสั่งที่ 66 บนเมิกฮานาสังหารกลุ่มอัศวินเจไดที่พยายามวางกับดักเขาบนเคสเซล เข้าจับกุมวุฒิสมาชากฝ่ายค้านแฟง ซาร์บนอัลเดอราน และเดินทางสู่คาชีคเพื่อจับชาววูคกี้มาเป็นทาสหลังจากที่เขาตามหาเจไดที่นั่น ภารกิจที่มีชื่อเสียงคือบนดาวโฮโนกห์โดยเป็นการกวาดล้างสารพิษของฝ่ายแบ่งแยกดินแดนที่หลงเหลือมาจากสงครามโคลน เขาให้สัญญากับชาวนอกริพื้นเมืองว่าจักรวรรดิจะรื้อฟื้นระบบนิเวศน์ของพวกเขาให้กลับมาเหมือนเดิมหากว่าพวกเขายอมทำหน้าที่เป็นมือสังหารให้กับจักรวรรดิ
เวเดอร์มักใช้ยานแอคติสของเขาบางครั้งในช่วงภารกิจแรก ๆ ในขณะที่การกวาดล้างเจไดยังคงดำเนินต่อไป บางครั้งก็จะมียานขับไล่ วี-วิงบินประกบข้าง ยานประจำตัวของเขาก็คือยานพิฆาตดารา อิมพีเรียล เฟิร์ส-คลาสเอ็กซ์แซกเตอร์ ภารกิจส่วนมากของเวเดอร์คือการตามล่าและสังหารเจไดที่รอดชีวิตจากคำสั่งที่ 66 หนึ่งในนั้นก็คือเอ็มพาโทจายอส แบรนด์ผู้ซึ่งถูกบังคับให้ใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อหลบซ่อนจากเวเดอร์ ต่อมาเขาได้ตามล่าเจไดสามคนที่หายไปบนดาวเมิกฮานา อย่างไรก็ตามเป้าหมายหลักของเขาก็คือโอบีวัน เคโนบี เคโนบีนั้นรอดก็เพราะเขาอยู่บนทาทูอีน สถานที่ที่เวเดอร์ไม่กล้ากลับไปเพราะกลัวว่ามันจะฟื้นความหลังในตอนที่เขายัง��ป็นอนาคิน สกายวอล์คเกอร์
ถึงแม้ว่าจะมีอำนาจและร่ำรวย เวเดอร์ก็ไม่เคยหาความสบายให้ตัวเอง เขามีที่พักเพียงบนคอรัสซังและปราสาทบาสท์บนดาววีจูน แต่สถานที่ที่เวเดอร์อาศัยเป็นหลักคือ ปราการส่วนตัวของเขาบนดาว มุสตาฟา กองทหารที่ 501 เป็นกองสตอร์มทรูปเปอร์ที่นำการกวาดล้างเจไดในวิหารเจไดได้กลายมาเป็นองครักษ์ส่วนตัวของเขา การกระทำของพวกเขาทำให้พวกเขาได้ฉายานามว่า "กำปั้นแห่งเวเดอร์"
17 ปีก่อนยุทธการยาวินเวเดอร์ได้นำโครงการวิจัยบนฟอลลีน เขาสนใจในการสร้างอาวุธชีวภาพ อย่างไรก็ตามมันก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นซึ่งทำให้ทั่วบริเวณต้องติดเชื้อ ด้วยการระมัดระวังไว้ก่อนเวเดอร์ได้กั้นขอบเขตเอาไว้ซึ่งรวมทั้งการทำลายชาวฟอลลีนกว่า 200,000 ชีวิตรวมทั้งครอบครัวของเจ้าชายไซซอร์ ในสายตาของจักรพรรดิการตายของชาวฟอลลีนเหล่านี้เป็นแค่ราคาถูกๆ เท่านั้น เพื่อป้องกันชีวิตอีกนับล้านบนดาวและดาวใกล้เคียง
เผชิญหน้าอาจารย์เก่า
[แก้]หลังจากเหตุการณ์ในภาค ซิธชำระแค้น 10 ปี ผ่านไป จักรวรรดิเรืองอำนาจ อนาคินในฐานะ ดาร์ธเวเดอร์ ยังคงหมกมุ่นกับการตามล่าอาจารย์เก่าของตน โอบีวัน เคโนบี ซึ่งยังคงหาไม่พบกระทั่งโอบีวันเริ่มเคลื่อนไหว เพราะได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจาก เบล ออร์กาน่า ให้เดินทางไปช่วยเจ้าหญิงเลอา เวเดอร์จึงรีบส่งนักสืบสวนจักรวรรดิ (อินควิซิเตอร์) 3 คนไปที่ดาวเคราะห์ ไดยู ทันที แต่โอบีวันก็ยังคงหนีไปพร้อมกับเลอาได้ โดยทั้งคู่เดินทางไปยังดาว มาพูโซ่ แต่ก็ยังไม่พ้นเงื้อมมือของจักรวรรดิ เวเดอร์จึงเดินทางไปด้วยตัวเอง และสังหารชาวบ้านทีละคนเพื่อบีบให้เคโนบีปรากฏตัวออกมา จนในที่สุดเวเดอร์ก็ได้พบกับอาจารย์เก่า โอบีวันใจเสียเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นอดีตลูกศิษย์ตรงหน้าในสภาพที่จำแทบไม่ได้
"เจ้ากลายเป็นอะไรไปแล้ว!?"
"ข้าคือสิ่งที่เจ้าสร้างเอาไว้ !"— ดาร์ธ เวเดอร์และเคโนบี, Star Wars : Obi wan Kenobi
เวเดอร์ไม่รอช้า เปิดฉากโจมตีโอบีวันทันที แต่โอบีวันที่ไม่มีจิตใจอยากจะสู้ จึงได้แต่หนีไปเรื่อย ๆ แต่สุดท้ายก็จนมุม และถูกเวเดอร์ใช้พลังตรึงไว้ก่อนจะจุดไฟเผาร่างโอบีวัน เพื่อทรมาณให้สาสมกับที่เขาถูกไฟคลอกในอดีต แต่เวเดอร์ก็ไม่ได้ฆ่าโอบีวันทันที พร้อมสั่งให้สตอร์มทรูเปอร์จับตัวกลับไปด้วย ขณะนั้นเอง ทาล่า ที่ซุ่มดูอยู่ที่เนินเขาใกล้ ๆ ก็ยิงปืนสกัดเพื่อถ่วงเวลาก่อนพาโอบีวันหนีไป ดาร์ธเวเดอร์ ตามล่าโอบีวันมาเรื่อย ๆ หมายจะสังหารเพื่อล้างแค้น และกำจัดเสี้ยนหนามของจักรวรรดิ ก่อนจะถูก เรวา หรือ เธิร์ดซิสเตอร์ อินควิซิเตอร์ ทรยศ แม้เวเดอร์จะแทงกระบี่แสงเข้าที่กลางลำตัวของเรวา ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้สังหารเธอทันที และปล่อยทิ้งเอาไว้อย่างนั้น ก่อนจะออกตามล่าอาจารย์เก่าต่อไป และแล้ว เวเดอร์กับ โอบีวันก็ได้เผชิญหน้ากันอีกครั้งบนดาวเคราะห์ร้างดวงหนึ่งก่อนจะได้ประดาบกัน โดยที่ครั้งนี้ โอบีวันกลับมาด้วยจิตใจที่พร้อมจะสู้เพื่อปกป้องอีกหลายชีวิต
"เจ้ามาเพื่อกำจัดข้างั้นรึ ? โอบีวัน"
"ข้าจะทำสิ่งที่ต้องทำ !"
"งั้นก็ตายเสียเถอะ !"— ดาร์ธ เวเดอร์และเคโนบี, Star Wars : Obi wan Kenobi
การต่อสู้อันดุเดือดระหว่างอาจารย์และอดีตศิษย์ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ในช่วงแรกเวเดอร์ได้เปรียบด้านพลังเป็นอย่างมาก ทำให้โอบีวันพลาดท่าถูกหินถล่มทับจนติดอยู่ด้านล่าง แต่ด้วยแรงใจที่ต้องการช่วยทุกคนให้รอด โอบีวันจึงใช้พลังระเบิดก้อนหินที่ทับร่างตัวเองอยู่ออกไปได้ และปรี่เข้าโจมตีดาร์ธเวเดอร์อีกครั้ง โดยโอบีวันเลือกที่จะใช้กลยุทธ์ต่อสู้แทนที่จะใช้แต่กำลัง เวเดอร์ถูกโอบีวันใช้พลังพุ่งก้อนหินจำนวนมากเข้าใส่จนเสียหลัก และตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแทน โอบีวันอาศัยจังหวะที่เวเดอร์เปิดช่องว่าง ใช้ด้ามกระบี่แสงกระแทกแผงควบคุมระบบหายใจของเวเดอร์ จนเขาเริ่มหายใจลำบากและเคลื่อนไหวช้าลง ขณะที่โอบีวันพุ่งเข้ามาและฟันใส่หน้ากากเวเดอร์จนเสียหาย เผยให้เห็นใบหน้าไร้อารมณ์และดุดันของอนาคิน โอบีวันจึงรู้สึกผิดต่อลูกศิษย์ที่เขารักษาไว้ไม่ได้จนหลั่งน้ำตาออกมา เขาโทษตัวเองที่ไม่สามารถเป็นอาจารย์ที่ดีให้อนาคินได้ แต่แล้วอนาคินในคราบเวเดอร์ก็กล่าวต่ออดีตอาจารย์ว่า อนาคินได้จากไปแล้ว ซึ่งเขาเป็นคนฆ่าด้วยตนเอง โอบีวันจึงจำต้องตัดใจคิดว่าลูกศิษย์ของตนได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ และทิ้งเวเดอร์ที่บาดเจ็บไว้เบื้องหลังเป็นครั้งที่ 2
"อนาคิน?"
"อนาคินตายไปแล้ว ข้าคือซากที่เหลืออยู่"
"ข้าขอโทษ ข้าขอโทษสำหรับทุกอย่าง"
"เจ้าไม่ได้ล้มเหลวเรื่องข้าหรอก โอบีวัน"
"เจ้าไม่ได้ฆ่า อนาคิน สกายวอล์คเกอร์...ข้าต่างหาก และเช่นเดียวกันข้าจะกำจัดเจ้า"
"งั้นสหายข้าคงตายแล้วจริง ๆ ลาก่อน ดาร์ธ"— ดาร์ธ เวเดอร์และเคโนบี, Star Wars : Obi wan Kenobi
สงครามกลางเมืองกาแลกติก
[แก้]การไล่ล่าแผนผังดาวมรณะ
[แก้]เกเลน เออร์โซ นักวิทยาศาสตร์หนึงในผู้สร้างดาวมรณะ ได้ทำการวางจุดอ่อนลงในดาวมรณะอย่างลับ ๆ และวางแผนให้ จิน เออร์โซลูกสาวของเขาไปขโมยแผนนั้นมาที่อยู่ที่ดาวสคารีฟ โดยความช่วยเหลือของ โร้ค วัน ซึ่งโร้ควันได้ทำการลอบเข้าไปในทางเข้าของเกราะที่ห่อหุ้มดาวสคารีฟและทำการก่อจลาจลขึ้น ฝ่ายกบฏรู้เรื่องนี้จึงส่งกองยานมาช่วยเหลือ เมื่อจักรวรรดิพบกองยานจึงทำการปิดเกราะทำให้ส่งสัญญา���ดาวมรณะไม่ได้ ฝ่ายกบฏที่อยู่ด้านล่างจึงส่งสัญญาณให้กบฏทำลายเกราะและก็ทำสำเร็จโดยการให้ ยานพิฆาตดารา 2 ลำชนกันและชนทางเข้าของเกราะจากการเสียสละของยานแฮมเมอร์เฮด และส่งสัญญาณไปยังยานธงของฝ่ายกบฏได้สำเร็จ ดาวมรณะได้ออกจากไฮเปอร์สเปซและยิงลำแสงมรณะทำลายกบฏพร้อมกับฐาน ดาร์ธ เวเดอร์ได้นำกองกำลังขึ้นยานธงของกบฏ ฝ่ายกบฏได้นำสัญญาณลงแผ่นข้อมูล และหนีไป แต่ประตูกลับติด ซึ่งทำให้ฝ่ายกบฏพบเจอกับดาร์ธเวเดอร์ และถูกฆ่าตายโดยฝีมืออันร้ายกาจของดาร์ธเวเดอร์ สุดท้ายกบฏจึงนำแผ่นข้อมูลผ่านช่องประตูที่เปิดเล็กน้อย ฝ่ายกบฏได้ขึ้นยาน แทนทีฟ 4 และปลดยานจากที่ล๊อค และนำแผนผังไปให้เลอา และหลบหนี ดาร์ธ เวเดอร์ได้นำยานพิฆาตดารา Devastator (เดวาสเตเตอร์) ไปไล่ล่ายานแทนทีฟ 4 จนถึงดาวทาทูอีน
เมื่อสามารถยึดยานแทนทีฟ 4 ได้แล้ว กอง 501 ได้บุกเข้าโจมตีภายในยานแทนทีฟ 4 แม้จะได้รับการต่อต้านจากกองกำลังทหารกบฏของเจ้าหญิงเลอาแต่สามารถจัดการได้ หลังจากนั้นในที่สุดกองกำลังทหารกบฏของเจ้าหญิงเลอาได้ยอมแพ้และถูกจับกุม ทหารได้รายงานว่าแผนผังไม่ได้อยู่ในคอมพิวเตอร์เลย ดาร์ธ เวเดอร์ได้จับบีบคอและยกขึ้นกับหัวหน้ากลุ่มกบฏคนหนึ่งเพื่อบีบคั้นแผนผังที่ได้รับจากการส่งสัญญาณ หัวหน้ากลุ่มกบฏคนนั้นได้กล่าวปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับสัญญาณอะไร และอ้างว่า ยานแทนทีฟ 4 เป็นยานกงสุลกำลังไปปฏิบัติภารกิจการเมือง ดาร์ธ เวเดอร์กลับไม่เชื่อและถามตอบว่า ถ้ายานนี้เป็นยานกงสุลจริงแล้วท่านทูตอยู่ที่ไหน หัวหน้ากลุ่มกบฏคนนั้นยังไม่ได้ทันที่จะตอบก็ได้ตายคามือของเวเดอร์เวเดอร์ได้ทิ้งร่างหัวหน้ากลุ่มกบฏคนนั้นทันทีและสั่งให้ทหารชำแหละยานแทนทีฟ 4 จนกว่าจะพบแผนผัง และจับผู้โดยสารทั้งหมดโดยจับมาอย่างเป็น ๆ หลังจากนั้นต่อมาไม่นาน ทหารกอง 501 สามารถจับกุมเจ้าหญิงเลอาได้ เมื่อดาร์ธ เวเดอร์ได้พบกับเจ้าหญิงเลอาก็เกิดการสนทนาขึ้น
"ดาร์ธ เวเดอร์ เจ้าเท่านั้นที่กล้าดีขนาดนี้ สภาจักรววรดิต้องไม่นิ่งเฉยแน่เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเจ้าโจมตียานกงสุล"
"อย่ามาทำเป็นไก๋เลยองค์หญิง คราวนี้ภารกิจของท่านไม่ได้บรรลุผลหรอก สายลับกบฏได้ส่งสัญญาณมาที่นี่ บอกข้ามาเถอะว่าเกิดอะไรขึ้นกับแผนผังที่มันมอบให้กับท่าน "
"ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะไร ข้าเป็นสมาชิกของสภาจักรววรดิซึ่งกำลังจะไปปฏิบัติภารกิจที่อัลเดอราน"
"ท่านเป็นพันธมิตรกบฏและเป็นผู้ทรยศ นำตัวไปขังไว้!— ดาร์ธเวเดอร์และเจ้าหญิงเลอา, Star Wars Episode IV: A New Hope
หลังจากสั่งทหารให้ขังเจ้าหญิงเลอาแล้ว นายทหารระดับผู้พันผู้หนึ่งได้กล่าวแสดงความวิตกกังวลว่า การกักตัวเจ้าหญิงเลอาอาจจะส่งผลร้าย ถ้าข่าวแพร่ออกไป อาจทำให้สภาจักรววรดิเริ่มไม่ไว้วางใจในตัวจักรพรรดิพัลพาทีนรวมทั้งกองทัพและหันไปไว้ใจและให้การสนับสนุนพันธมิตรกบฏแทนก็เป็นไปได้ แต่ดาร์ธเวเดอร์หาได้ใส่ใจไม่และกล่าวว่าเขาตามสายลับกบฏไปจนถึงตัวเจ้าหญิงเลอาแล้ว ตอนนี้มีเพียงเธอเท่านั้นที่จะทำให้เขาได้ค้นพบฐานทัพลับของพันธมิตรกบฏได้ แม้จะดูจะเป็นยากแต่คิดว่าพอจัดการได้ เวเดอร์ได้ออกคำสั่งให้ส่งสัญาณฉุกเฉินออกไปและแจ้งต่อสภาจักรววรดิว่าลูกเรือของยานแทนทีฟทั้งหมด 4 ได้ตายหมดแล้ว ต่อมาก็ได้รับรายงานว่า แผนผังไม่ได้อยู่ในยานแทนทีฟ 4 และไม่มีการส่งสัญญาณอะไรเลย แต่ได้รายงานถึงยานหลบหนีฉุกเฉินลำหนึ่งที่หลุดออกมาจากยานแทนทีฟ 4 เพราะคิดว่าน่าจะมาจากอุบัติเหตุจากการปะทะแต่ในนั้นกลับไร้สิ่งมีชีวิต ดาร์ธเวเดอร์รู้ทันทีว่าเจ้าหญิงเลอาได้ซ่อนแผนผังไว้ที่ยานหลบหนีฉุกเฉินที่หลุดและตกลงไปยังดาวทาทูอีนแล้ว เขาได้ส่งทีมหน่วยพายุทรายไปตามเก็บยานหลบหนีฉุกเฉินมาอย่างเร่งด่วน หลังจากนั้นสั่งให้ยานมุ่งหน้าไปยังดาวมรณะ ภายหลังจากการโจมตีของดาร์ธเวเดอร์ก็ทำให้เหล่าบรรดานายทหารระดับสูงและกองทัพจักรวรรดิก็เกิดความรู้สึกเป็นกังวลว่าจะเกิดความวุ่นวายแน่แต่จักรพรรดิพัลพาทีนได้ทำให้คลายความกังวลด้วยการประกาศยุบสภาจักรวรรดิและแต่งตั้งมอร์ฟฟเป็นผู้ปกครองเขตดาวต่าง ๆ ซึ่งถือว่ามีอำนาจในด้านกฎหมายโดยใช้หลักการทางจิตวิทยาของความกลัวต่อดาวมรณะ
ณ ดาวมรณะ อาวุธสุดยอดแห่งจักรวรรดิกาแลกติก เหล่าบรรดานายทหารระดับสูงได้ประชุมหารือเกี่ยวกับภัยคุกคามจากพันธมิตรกบฏและความกังวลถึงความเป็นไปได้ที่สภาจักรวรรดิจะสนับสนุนพันธมิตรกบฏ แต่แกรนด์มอฟฟ์ วิลฮัฟ ทาร์คินได้มาแจ้งข่าวการประกาศยุบสภาจักรวรรดิให้ได้รับทราบและบอกทุกคนว่าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น แต่นายพลแคสซิโอ แทกเก (Cassio Tagge) ก็ได้แสดงความวิตกกังวลว่า หากพันธมิตรกบฏได้แผนผังดาวมรณะและพบจุดอ่อนก็จะกลายเป็นหายนะต่อจักรวรรดิแน่ ดาร์ธ เวเดอร์ได้คลายความกังวลว่า แผนผังนั้นจะต้องกลับมาอยู่ในมือในไม่ช้า แต่หัวหน้าแห่งกองทัพเรือโคแนน อันโตนิโอ มอนตีได้บอกว่า ตนนั้นไม่สนใจว่า พันธมิตรกบฏจะได้แผนผังดาวมรณะไปและถึงจะโจมตีก็จะต้องพบล้มเหลวอย่างแน่นอน ดาวมรณะคืออำนาจสูงสุดในจักรวาลจึงเสนอให้มีการใช้ซะ แต่ดาร์ธ เวเดอร์ได้กล่าวเตือนว่า อย่าได้มั่นใจในเทคโนโลยีนักเพราะมันเทียบไม่ได้เลยกับอำนาจแห่งพลัง แต่มอนตีกลับไม่สนใจแถมยังเยาะเย้ยกับเวเดอร์ว่า พลังเป็นเรื่องที่งมงายไร้สาระ ขนาดแผนผังยังแย่งชิงกลับคืนมาไม่ได้หรือไม่ก็ยังไม่มีดวงตาทิพย์ในการค้นหาฐานลับพันธมิตรกบฏ ด้วยความโกรธของดาร์ธ เวเดอร์จึงใช้พลังบีบคอมอนตีหมายจะฆ่าให้ตายแต่ทาร์คินได้ห้ามและปล่อยเขา เวเดอร์ยอมทำตามแต่โดยดี ทาร์คินได้ตำหนิที่ทั้งคู่ทะเลาะกัน และบอกว่า ดาร์ธ เวเดอร์จะต้องตามหาและพบแผนผังนั้นก่อนที่ดาวมรณะจะเสร็จสมบูรณ์ หลังจากนั้นก็จะบดขยี้พันธมิตรกบฏให้ราบคาบอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นดาร์ธ เวเดอร์ได้พยายามบีบเค้นเจ้าหญิงเลอาให้เปิดเผยฐานลับของพันธมิตรกบฏถึงกับได้ใช้ดรอย์จับผิด (Interrogator droids) เพื่อทรมานให้คลายความลับออกมา แต่เธอกลับสามารถรับมือกับมันได้และไม่ยอมคลายความลับออกมา ดาร์ธ เวเดอร์ก็จนใจจึงได้ไปรายงานกับแกรนด์มอฟฟ์ทาร์คินและบอกว่า คงจะใช้เวลานานมากกว่าเธอจะยอมบอก ในขณะเดียวกันดาวมรณะได้เสร็จสมบูรณ์แ���้ว ทาร์คินได้บอกกับเวเดอร์ว่า มีวิธีหนึ่งที่จะดลใจในอีกแบบหนึ่ง เวเดอร์เกิดความสงสัยแต่ทาร์คินไม่ได้บอกแต่สั่งให้มุ่งหน้าไปยังดาวอัลเดอราน ดาวบ้านเกิดของเจ้าหญิงเลอา เมื่อมาถึงแล้ว ทาร์คินได้ข่มขู่เจ้าหญิงเลอาว่าถ้าไม่บอกยอมเผยฐานทัพลับของพันธมิตรกบฏ ดาวอัลเดอรานจะเป็นดาวดวงแรกที่ต้องสังเวยให้กับดาวมรณะ เมื่อไม่มีทางเลือก เธอยอมเผยว่าฐานทัพลับอยู่ที่ดาวแดนทูอีน แต่ทาร์คินกลับไม่รักษาสัญญาโดยอ้างว่าดาวแดนทูอีน อยู่ไกลเกินกว่าลำแสงซูเปอร์จะยิงถึงแต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็จะจัดการพันธมิตรกบฏให้สิ้นซากในไม่ช้า และแล้วดาวอัลเดอรานก็ได้ถูกทำลายด้วยลำแสงซูเปอร์ ประชาชนนับล้านในดาวอัลเดอรานรวมทั้งเบล ออร์กานา ผู้นำและผู้ก่อตั้งพันธมิตรกบฏก็ได้ตายหมดสิ้น เจ้าหญิงเลอารู้สึกสิ้นหวัง และเสียใจเป็นอย่างมาก และแล้วข่าวของการทำลายดาวอัลเดอรานก็ได้แพร่สะพัดไปทั่ว ทำให้จักรวาลตกอยู่ในความหวาดผวา และเกรงกลัวต่ออำนาจของจักรวรรดิ
การประลองที่ดาวมรณะ
[แก้]ต่อมาทาร์คินได้ส่งคนไปสำรวจที่ดาวแดนทูอีนตามที่เจ้าหญิงเลอาบอกแล้ว ผลปรากฏว่าดาวแดนทูอีนเป็นฐานทัพของพันธมิตรกบฏจริงแต่ถูกทิ้งร้างไปแล้ว ทาร์คินรู้ทันทีว่าถูกเจ้าหญิงเลอาหลอกก็เกิดหัวเสียมาก เวเดอร์คาดเดาได้ทันทีว่า เจ้าหญิงเลอาไม่มีวันทรยศกับพวกพันธมิตรกบฏ ทาร์คินได้สั่งให้ประหารเจ้าหญิงเลอาทันที ในเวลาต่อมาก็ได้รับรายงานว่า ได้พบและดักจับยานปริศนาลำหนึ่งเข้าที่บริเวณซากดาวอัลเดอรานที่ถูกทำลายซึ่งเป็นยานที่หลบหนีออกจากท่าจอดยานที่มอสอิสลี่ย์ ณ ดาวทาทูอีน เวเดอร์ได้บอกกับทาร์คินว่า มีคนพบแผนผังดาวมรณะและตั้งใจจะนำไปกลับคืนให้เจ้าหญิงเลอา บางทีเธออาจจะมีประโยชน์อยู่ หลังจากนั้นเวเดอร์ได้ไปที่ท่าจอดยานซึ่งได้รับรายงานจากนายทหารว่า ได้ทำการตรวจค้นยานที่ถูกดักจับแล้วแต่กลับไร้คนขับจึงเชื่อว่าน่าจะสละยานไปแล้วและไม่พบดรอย์ในยานเลย เวเดอร์จึงสั่งให้ส่งทีมตรวจสอบยานให้ละเอียดทุกซอกทุกมุม ในขณะเดียวกัน เวเดอร์เกิดมีความรู้สึกถึงพลังที่แปลกประหลาดที่เขาคุ้นเคยแต่กลับคิดไปเอง ต่อมาเวเดอร์ได้ทบทวนความรู้สึกถึงพลังนี้ มันทำให้เขาได้นึกถึงอดีตอาจารย์ที่เขาเคียดแค้นมาตลอดหลายสิบปีซึ่งได้ทำให้เขารู้ว่า โอบีวัน เคโนบี อาจารย์เก่าได้อยู่บนดาวมรณะนี้ เวเดอร์ได้ตรงเข้าไปหาทาร์คินเพื่อรายงานถึงการมาของโอบีวัน ทาร์คินกลับรู้สึกฉงน และถามว่าอะไรที่ทำให้คิดแบบนี้ เวเดอร์ได้บอกว่าเขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึก และการเคลื่อนไหวของพลังได้ครั้งตั้งแต่สมัยที่เป็นลูกศิษย์ แต่ทาร์คินกลับไม่ได้ให้ความสนใจแต่อย่างใดและได้บอกว่าคนที่ชื่อ โอบีวัน เคโนบี ได้ตายไปนานแล้วและนิกายเจไดก็สูญสิ้นไปจากจักวาล และพลังที่เจไดและเวเดอร์เชื่อเป็นสิ่งที่งมงายและไร้สาระ เมื่อเวเดอร์ได้ฟังดังนั้นก็เกิดไม่พอใจที่ทาร์คินกำลังดูถูกอำนาจแห่งพลัง ในระหว่างโต้เถียงกัน ทั้งคู่ก็ได้รับรายงานถึงเกิดการแหกคุกที่ห้องคุมขังเจ้าหญิงเลอา ทาร์คินได้สั่งเปิดอำนาจฉุกเฉินเพื่อปราบปราม เวเดอร์ยืนกรานว่าโอบีวันอยู่ที่นี่จริง ๆ ทาร์คินจึงยอมเชื่อในที่สุด และเตือนเวเดอร์ว่า จะต้องไม่ปล่อยให้โอบีวันหลบหนีไปได้อย่างเด็ดขาด แต่เวเดอร์ตอบว่า ครั้งนี้การหลบหนีก็ไม่ใช่ความประสงค์ของโอบีวัน และตนจะเป็นคนที่จะไปเผชิญหน้าและปลิดชีพเขาด้วยน้ำมือของตนเอง
"ข้ากำลังรอเจ้าอยู่ โอบีวัน ในที่สุดเราก็พบกันอีก วัฏจักรสมบูรณ์แล้ว เมื่อข้าจากเจ้ามา ข้ายังเป็นเพียงศิษย์ บัดนี้ข้าคือปรมาจารย์"
"ปรมาจารย์แห่งความชั่วน่ะสิ ดาร์ธ"
"พลังเจ้าอ่อนลงนะ ตาแก่"
"เจ้าไม่ชนะหรอกดาร์ธ ถ้าเจ้าล้มข้าลง ข้าจะทรงพลังเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ !"
"เจ้าไม่ควรกลับมาเลย"— ดาร์ธเวเดอร์ และ เบน เคโนบี, Star Wars Episode IV: A New Hope
การทำลายดาวมรณะ
[แก้]ขณะที่ทาร์คินสั่งทหารนำดาวมรณะไปทำลายดาวยาวิน 4 นั้นกองทัพกบฏส่งยานจู่โจมและยานทิ้งระเบิดมาโจมตีทำลายดาวมรณะ เวเดอร์นำกองยานจู่โจมฝ่ายจักรวรรดิ เข้าทำลายยานกบฏราวกับใบไม้ร่วง ขณะที่ลุค สกายวอล์คเกอร์กำลังทำการโจมตีรอบสุดท้าย เวเดอร์ซึ่งขับยานจู่โจมรุ่น TIE Advanced x1 กระหน่ำยิงใส่ (โดยสัมผัสความรู้สึกถึงพลังในยานของลุค) แต่กลับถูกยานมิลเลนเนียม ฟอลคอน ยิงใส่จนยานกระเด็นออกจากดาวมรณะ ทำให้ลุคสามารถทำลายดาวมรณะได้สำเร็จ ส่วนเวเดอร์หลังจากควบคุมยานให้สมดุลและหลบหนีไปสมทบกับกองเรือจักรวรรดิเพื่อนำกำลังไปถล่มที่ยาวิน 4 แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะกลุ่มกบฏได้หลบหนีออกจากดาวไปได้ทัน และข่าวของดาวมรณะได้ถูกทำลาย โดยนักบินหนุ่มฝ่ายกบฏเพียงคนเดียว ก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วกาแลคซี่ และทำให้ดาวเคราะห์น้อยใหญ่เริ่มที่จะไม่เกรงกลัวจักรวรรดิ เวเดอร์ต้องพบกับความโกรธของจักรพรรดิพัลพาทีนทำให้เขาถูกลดอำนาจ แต่เวเดอร์ก็ได้เกิดความสงสัยว่านักบินหนุ่มฝ่ายกบฏเป็นใคร ทำไมจึงสัมผัสได้ถึงพลังจากเขา จึงได้พยายามสืบดูโดยจ้างนักล่าค่าหัวนาม โบบา เฟตต์ ไปตามจับนักบินหนุ่มคนนั้น สุดท้าย โบบา เฟตต์ ทำพลาด แต่ก็ได้บอกชื่อให้แก่เวเดอร์ว่า นักบินหนุ่มผู้นั้นมีนามว่า ลุค สกายวอลเกอร์ เวเดอร์ถึงกับชะงักไป และเกิดความโกรธแค้นต่อจักรพรรดิพัลพาทีน เพราะในอดีตหลังจากที่เขาพ่ายแพ้ต่อโอบีวัน และถูกผนึกในชุดเกราะสีดำมืด เขาได้ถามถึง แพดเม่ ผู้เป็นภรรยาว่าปลอดภัยหรือไม่ แต่จักรพรรดิกลับตอบว่าภรรยาของเวเดอร์ได้ตายไปแล้ว โดยไม่ได้บอกว่าลูก ๆ ของเขายังมีชีวิตอยู่ ณ ตอนนั้นเองเวเดอร์จึงได้รู้ว่าตนมีบุตรชาย และได้ตั้งใจว่าจะชักจูงให้เข้าสู่ด้านมืด เพื่อร่วมมือโค่นล้มจักรพรรดิ ปกครองกาแลคซี่ร่วมกันสองพ่อลูกไปตลอดกาล
โจมตีที่ฮอธ
[แก้]ไล่ล่ายานมิลเลนเนียม ฟอลคอน
[แก้]หลังจากที่กลุ่มกบฏนำโดยเจ้าหญิงเลอา ออร์กานาและลุค สกายวอล์คเกอร์ รวบรวมกำลังพลสำเร็จ พวกเขาก็ทำการตั้งฐานทัพลับที่ดาวฮอธ ซึ่งเป็นดาวที่มีน้ำแข็งปกคลุมทั้งดวง แต่ก็มิอาจรอดพ้นสายตาของฝ่ายจักรวรรดิ ซึ่งส่งหุ่น โพรบดรอยด์ กระจายไปทั่วกาแลคซี่ ควานหาฐานทัพฝ่ายกบฏ หลังลุคได้รับการช่วยเหลือกลับมาที่ฐาน ฝ่ายจักรวรรดิก็ส่งกองกำลังมาถล่มทันที ลุคและพวกพ้องจึงเคลื่อนทัพเข้าปะทะ เพื่อต้านไว้จนกว่าจะลำเลียงกองยานหลบหนีได้หมด และสามารถล้มยานเกราะ AT-AT ได้ 3 ตัว ก่อนฝ่ายกบฏจะหลบหนีออกจากดาวได้ทันท่วงที เวเดอร์รีบรุดมายังฐานทัพกบฏ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ฮาน โซโลและพวกพ้องพร้อมกับยานมิลเลนเนียม ฟอลคอน ได้ออกบินหลบหนีไปทันเวลาอย่างฉิวเฉียด เวเดอร์หัวเสียเป็นอย่างมากจนทำร้ายนายทหารไปอีกหนึ่งคน
ประลองกับลูกชาย
[แก้]"พลังสถิตย์กับเจ้าแรงกล้า สกายวอล์คเกอร์หนุ่ม แต่เจ้ายังไม่ได้เป็นเจได"
— ดาร์ธ เวเดอร์พูดกับลุค สกายวอล์คเกอร์, Star Wars Episode V: The Empire strikes back
ด้วยกลอุบายที่เวเดอร์จับตัวพวกฮานขังไว้ที่นครเมฆา ลุค สกายวอล์คเกอร์ ก็รีบรุดเดินทางมาที่ดาวเบสพินตามที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่ผิด โดยเขาสั่งให้เตรียมเครื่องแช่แข็งคาร์บอนไนต์ไว้ สำหรับพันธนาการสกายวอล์คเกอร์หนุ่ม กลับไปมอบให้จักรพรรดิ จนกระทั่งลุคได้เข้ามายังห้องที่เขารออยู่ และเวเดอร์ก็ปรากฏตัวขึ้น ลุคไม่รอช้า รีบชักกระบี่แสงออกมา เวเดอร์เห็นดังนั้นจึงเปิดฉากดวลทันที ด้วยประสบการณ์ที่มากกว่าก็ทำให้เขาได้เปรียบสกายวอล์คเกอร์หนุ่ม โดยเขาใช้เพียงแค่มือเดียวในการประดาบกับลุคได้อย่างสบาย ๆ แต่ลุคเองก็มีพรสวรรค์ด้านพลังอยู่เช่นกัน จึงสามารถต้านทานเวเดอร์ได้ระดับหนึ่ง เวเดอร์ต่อสู้ไปด้วย และทำทีเป็นล่าถอยด้วยเพื่อให้ตายใจ ก่อนจะใช้พลังโยนสิ่งของรอบข้างใส่ ทำให้ลุคเสียหลักตกลงไปชั้นล่าง เวเดอร์ไล่ต้อนอย่างไม่ลดละจนสามารถตัดมือขวาของลุคได้ เวเดอร์พยายามโน้มน้าวให้เขาเข้าสู่ด้านมืด แต่ลุคยังคงขัดขืน เขาจึงเผยความจริงว่าตนคือพ่อของลุค สกายวอล์คเกอร์หนุ่มที่ได้ฟังความจริงทั้งตกใจและไม่อยากยอมรับความจริง เวเดอร์ยังคงพยายามกล่อมให้ลูกชายมาเข้าร่วมอุดมการณ์ด้วย แต่ลุคกลับเลือกที่จะทิ้งตัวลงสู่เบื้องล่าง สร้างความแปลกใจให้เวเดอร์ไม่น้อย แต่ท้ายที่สุดเขาก็รู้ว่าลูกชายยังมีชีวิตอยู่ โดยสื่อจิตถึงกันผ่านพลัง
"ลุค เจ้ายังไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของเจ้า เจ้าเพิ่งจะค้นพบความสามารถของตัวเอง ข้าจะฝึกเจ้าให้สำเร็จ ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเรา จะสามารถขจัดทุกความขัดแย้งและปกครองทั้งกาแล็กซี "
"ข้าไม่มีวันร่วมกับท่านหรอก"
"ขอเพียงเจ้ารู้ถึงอำนาจแห่งพลังด้านมืด โอบีวันไม่เคยบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อเจ้า"
"เขาได้บอกข้าแล้ว เขาบอกท่านฆ่าเขา"
"ไม่..ข้า คือพ่อของเจ้า"
"ไม่ !! มันไม่จริง เป็นไปไม่ได้ !!"
"ใช้ความรู้สึกของเจ้า แล้วเจ้าจะรู้ว่ามันจริง"
"ไม่ !!...ไม่ !!"— ดาร์ธ เวเดอร์ กับ ลุค สกายวอล์คเกอร์, Star Wars Episode V: The Empire strikes back
ยุทธการเอนดอร์ (ปีที่ 4 หลังยุทธการยาวิน)
[แก้]สร้างดาวมรณะดวงใหม่และสงครามครั้งสุดท้าย
[แก้]ในขณะนั้น กองทัพซิธยังหลงเหลืออยู่เพียงแค่ 2 คน คือดาร์ธ เวเดอร์และจักรพรรดิพัลพาทีน หรือ ดาร์ธ ซิเดียส จักรพรรดิพัลพาทีน ได้ออกคำสั่งแก่ทหารให้สร้างดาวมรณะดวงที่ 2 เพื่อกำจัดพวกอัศวินเจไดที่ยังหลงเหลืออยู่ ทำให้ลุค สกายวอล์คเกอร์ เจ้าหญิงเลอา ออร์กานา ฮาน โซโล และชิวแบคคา ต้องขึ้นยานมิลเลนเนียม ฟอลคอน และขับตรงไปยังดาวมรณะดวงใหม่เพื่อยิงระเบิด ลุค สกายวอล์คเกอร์ได้บุกเข้าไปด้านในของดาวมรณะ และเข้าสู่ห้องบัลลังก์ของจักรพรรดิ จักรพรรดิและดาร์ธ เวเดอร์พยายามเกลี้ยกล่อมให้ลุคเข้าสู่ด้านมืด โดยให้ลุคพยายามฆ่าเวเดอร์ผู้เป็นพ่อ แต่ลุคนั้นเลือกที่จะอยู่ด้านสว่าง ทำให้เวเดอร์โกรธและใช้กระบี่แสงโจมตีลุค ในขณะที่ลุคและดาร์ธ เวเดอร์ได้ดวลดาบกันนั้น ดาร์ธ เวเดอร์ได้บอกแก่ลุคว่า ถ้าลุคเลือกที่จะอยู่ด้านสว่าง ก็ต้องให้เลอาผู้เป็นน้องสาวเข้าด้านมืดแทน ทำให้ลุคโกรธและเอาชนะเวเดอร์ได้โดยตัดมือขวาของเวเดอร์ขาด
จักรพรรดิพัลพาทีนได้สั่งให้ลุคสังหารดาร์ธ เวเดอร์ เพื่อจะได้เข้าสู่ด้านมืดอย่างเต็มตัว โดยบอกว่า "ความเกลียดทำให้เจ้าแข็งแกร่ง" แต่ลุคเลือกที่จะอยู่ด้านสว่างตามเดิม และแสดงจุดยืนว่าเขายังคงเลือกวิถีแห่งเจได ซึ่งก็คือ "การไม่ฆ่าใครก็ตามที่หมดทางสู้" นั่นทำให้จักรพรรดิโกรธและใช้พลังสายฟ้า เพื่อฆ่าลุคต่อหน้าดาร์ธ เวเดอร์
กลับคืนด้านสว่างและเสียชีวิต
[แก้]เจ้าได้ช่วยพ่อแล้วลุค เจ้าพูดถูก...เจ้าพูดถู���เกี่ยวกับพ่อ บอกน้องเจ้าด้วยว่าเจ้าพูดถูก
— คำพูดสุดท้ายของอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ก่อนตายโดยพูดกับลุค สกายวอล์คเกอร์, Star Wars The Return Of The Jedi
ในขณะที่ลุคกำลังจะเสียชีวิต ดาร์ธ เวเดอร์ ไม่อาจทนเห็นลูกชายรับความทรมานได้อีกต่อไป จึงเกิดความรู้สึกสำนึกผิด และกลับสู่ด้านสว่าง เขาได้ทำตามคำทำนายของเจได คือการนำ "สมดุล" มาสู่พลัง และสังหารจักรพรรดิ โดยทุ่มลงไปในเตาปฏิกรณ์ของดาวมรณะดวงที่ 2 เพื่อช่วยชีวิตลูกชาย แต่ทว่าเวเดอร์ถูกสายฟ้าของจักรพรรดิช็อตเข้าเต็ม ๆ ทำให้เครื่องพยุงชีพของเขาเสียหาย สิ่งสุดท้ายที่เขาอยากทำก่อนตายคือเห็นลูกชายของเขาด้วยตาของตนเอง ลุคยอมทำตาม และถอดหน้ากากที่น่ากลัวซึ่งปิดบังใบหน้าของพ่อของเขามากว่า 20 ปี อนาคินขอบคุณลูกชายที่ช่วยให้เขากลับคืนด้านสว่างได้และมันทำให้เขารู้ว่าเจ้าหญิงเลอาที่ตามจับได้ถึงสองครั้งนั้นคือลูกแฝดคนสุดท้องนั่นเอง มันเป็นครั้งแรกที่เขาสำนึกผิดทุกการกระทำที่เขาทำไว้เมื่อเป็นซิธ อีกครั้งที่อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ได้พบกับความสงบ และกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพลังตลอดไป ส่วนร่างและชุดเกราะที่เหลือของเขา ลุคได้นำไปประกอบพิธีเผาบนดาวเอนดอร์ ใกล้หมู่บ้านชนพื้นเมือง และอนาคินได้พบกับอาจารย์ทั้ง 2 ของเขาอีกครั้งในสภาพดวงจิต (Force Ghost) ในท้ายที่สุด
- หลังจากเวลาล่วงเลยไปหลายปี ในช่วง 34 ปีหลังยุทธการยาวิน ซากหมวกชุดเกราะของเวเดอร์ที่ถูกเผา ได้ถูกเก็บไป และกลายเป็นที่บูชาของ ไคโลเร็น หรือ เบ็น โซโล ผู้เป็นหลานชายของเขา บุตรของเจ้าหญิงเลอา และเป็นอัศวินดำแห่งปฐมภาคี
การเปิดเผยอดีต (legend)
[แก้]ท่านผู้ถูกเลือก ท่านผู้ทรยศ และเป็นเหตุผลชั้นเยี่ยมที่จะใช้อ้างได้ว่าทำไมใครก็ตามที่นามสกุลสกายวอล์คเกอร์ถึงไม่อยากเป็นเจได
— เคด สกายวอล์คเกอร์, Star Wars Legacy 11: Ghosts, Part 1
ในปีที่ 35 หลังยุทธการยาวิน ขณะที่ลุค สกายวอล์คเกอร์ซ่อมอาร์ทูดีทู อาจารย์เจไดพบกับโฮโลแกรมบันทึกภาพอนาคิน สกายวอล์คเกอร์และแพดเม่ อมิดาล่า ซึ่งอนาคินกล่าวกับภรรยาของเขาว่าเขาฝันว่าแพดเม่ตายตอนคลอดลูก
ปีต่อมา ลุคยังได้ดูโฮโลแกรมที่อนาคินสังหารเจไดในวิหารเจได จากนั้นไม่นาน ในสงครามสวาร์ม ลุคต้องตกใจเมื่อพบสาเหตุเบื้องหลังจากตายของแม่ของเขาและเลอา เมื่อลุคดูโฮโลแกรมที่ฉายให้เห็นถึงพ่อของเขาใช้พลังบีบคอแพดเม่ที่บันทึกไว้โดยอาร์ทู ดีทู
หลังจากที่ลุคตาย ในปีที่ 137 หลังยุทธการยาวิน อนาคินปรากฏตัวในนิมิตพลังของเคด สกายวอล์คเกอร์ หนึ่งในหลานของเขา ในนิมิต เขาปรากฏตัวเป็นตอนที่เขาเข้าด้านมืดและสู้กับเมซ วินดู จากนั้นก็กลายเป็นดาร์ธ เวเดอร์และดวลกับเคด หลังจากเอาชนะเคด เวเดอร์ถอดหมวกของเขาออก แสดงให้เห็นถึงใบหน้าที่ถูกเผาของเขา และเตือนเคดถึงอันตรายของด้านมืด แทนที่จะให้การเตือนง่าย ๆ เกี่ยวกับด้านมืด อนาคินเตือนหลานของเขาว่าเขาต้องควบคุมพลังและความโกรธของเขา เกราะกลัวว่ามันจะทำร้ายเขา เหมือนกับตอนที่อนาคินทำในตอนที่ดวลกับโอบีวัน เคโนบีบนดาวมุสตาฟาร์
แพดเม่และฉมี
[แก้]ชีวิตของอนาคินผูกพันกับผู้หญิงสองคนมากที่สุดคือ ฉมี แม่ของเขา และแพดเม่ ภรรยาของเขา เขามีความสัมพันธ์แม่ลูกที่แน่นแฟ้นกับแม่ของเขา มันปวดร้าวที่ต้องทิ้งเธอไว้บนทาทูอีนขณะที่เขามุ่งหน้าสู่คอรัสซังเพื่อทำตามฝันของเขา และเขานับถือในความอดทนของเขาตลอดชีวิตที่ยากลำบากในการเป็นทาส โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เขาตัดสินใจจากทาทูอีนไป การจากไปอย่างเร็วของเธอตอนที่เขาอายุได้สิบเก้าปีสะเทือนใจเขามาก และเขาสัญญาว่าจะไม่ยอมปล่อยให้คนที่เขารักถูกทำร้ายอีก กล่าวคือโอบีวัน เคโนบี อาจารย์ของเขา และแพดเม่ อนาคินพบราชินีที่ปลอมตัวมาตอนที่เขายังอยู่ที่มอส เอสปา ที่ที่ซึ่งเธอแสดงตนเป็นสาวรับใช้ หลังจากยุทธการธีด เขายังคงเฝ้าคิดถึงเธอ หลังจากที่ผจญภัยมาด้วยกัน เธอเริ่มมีใจให้กับเขา และทั้งสองก็แต่งงานกันตอนที่สงครามโคลนเริ่มต้นขึ้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้พบกันยากมาก อนาคินรักและสัญญาว่าจะปกป้องแพดเม่ ตั้งแต่ที่เขาไม่สามารถช่วยชีวิตแม่เอาไว้ได้ ในตอนท้าย ความกลัวของเขาต่อแพดเม่ (ผู้ที่ถูกเชื่อว่าตายตอนคลอดเด็ก) ได้ทำให้เขาเข้าสู่ด้านมืด - อย่างไรก็ตามความทรงจำของเขาที่ได้อยู่กับเธอ และความช่วยเหลือจากลุค จึงช่วยให้เขากลับสู่แสงสว่างเพื่อปกป้องครอบครัวเขาอีกครั้ง
พลังและความสามารถ
[แก้]พลังและความสามารถในพลัง
[แก้]…แกกรีดร้องสู่พลัง และเงามืดที่ทำลายแก แต่แกด้อยกว่าสิ่งที่แกเคยเป็นมากนัก ร่างของแกกลายเป็นกลไกไปกว่าครึ่ง แกเหมือนศิลปินที่บัดนี้ดวงตามืดบอด เหมือนนักประพันธ์ที่บัดนี้ไม่อาจได้ยินสิ่งใด แกยังจำได้ว่าพลังอำนาจของแกอยู่ที่ไหน แต่เมื่อได้สัมผัสกลับเป็นเพียงแค่ความทรงจำ…และโลกของแกไม่เหลือแล้ว มีแต่ไฟ และสงคราม แกอยู่บนเตียงเหล็กที่มัดแกไว้ และสุดท้ายแกก็สำผัสเงามืดไม่ได้...สุดท้ายมันก็ไม่ใช่สิ่งที่แกต้องการจริง ๆ และสุดท้ายแกไม่เหลืออะไรนอกจากเงามืด เพราะเงามืดเข้าใจแก และให้อภัยแก มันเปลี่ยนหัวใจแกให้เป็นเครื่องจักรหลังจากถูกเผา และนี่...คือความรู้สึก ที่ได้เป็น...อนาคิน สกายวอล์คเกอร์...
— ความคิดของอนาคินหลังจากได้รับรู้ถึงการตายของแพดเม่
ความจริงที่ว่าอนาคินเกิดมาพร้อมกับจำนวนที่สูงสุดของมิดิคลอเรี่ยนในประวัติศาสตร์ของกาแลกติกและถูกกล่าวว���าเป็นผู้ที่ถูกเลือก นำมาซึ่งบทสรุปมากมายของพลังและความสามารถของเขา ในช่วงชีวิตของเขา เขาไม่ได้ประสบความสามารถสูงสุดของเขาอันเนื่องมาจากชะตากรรมของเขาที่เป็นวีรบุรุษในโศกนาฏกรรม แต่ก่อนที่เขาจะเข้าสู่ด้านมืด แม้ว่าจะเยาว์วัยและได้รับการฝึกที่น้อยก็ตาม (เนื่องมาจากอายุที่มากเกินไปของเขา) อนาคินก็ยังคงเป็นเจไดที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา หากเขาได้บรรลุถึงแก่นแท้อันสูงสุดของนิกาย เขาก็จะกลายเป็นทั้งเจไดและซิธที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาตาย เขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับพลัง แม้จะไม่ได้ฝึกวิชาเหมือนกับไควกอน โอบีวัน และโยดา ซึ่งนั่นก็เป็นการบรรลุถึงความสามารถสูงสุดของเขา โอบีวัน เคโนบี กล่าวกับเวเดอร์ก่อนที่เขาจะตายว่า "หากเจ้าล้มข้าได้ ข้าก็จะทรงพลังกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้เสียอีก" หากนั่นเป็นจริง ข้อสรุปก็คือ เมื่อละสังขารและรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพลังแล้ว เจไดผู้นั้นจะบรรลุถึงพลังสูงสุดของเขาหรือเธอนั่นเอง
อัศวินเจได
[แก้]เจไดที่ทรงพลัง เขาเป็น
— โยดา, สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 5: จักรวรรดิโต้กลับ
ยอดนักบิน: อนาคิน สกายวอล์คเกอร์เป็นชายที่มากความสามารถ เขาเป็นที่รู้จักในทักษะการบินของเขา ทักษะที่ได้รับชื่อเสียงจากการเป็นเจไดเอซ ด้วยกิติศัพท์ที่โด่งดังจึงมีคนกล่าวกันว่าเขาเป็นนักบินที่เก่งที่สุดในกาแลคซี่ ในช่วงที่เขาเป็นทาส เขาได้สร้างชื่อเสียงแก่ตนเองด้วยการเป็นนักแข่งพ็อดเรซเซอร์ เขาเป็นหนึ่งในมนุษย์ที่น้อยนักที่จะสามารถขับพ็อดเรซเซอร์ได้ ต้องยกความดีให้ทักษะด้านพลังของเขา อนาคินยังชนะการแข่งขันบูนทาอีฟคลาสสิกเมื่อายุได้ 9 ปี ซึ่งทำให้เขาได้รับอิสรภาพ อนาคินน้อยดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมายของสาธารณรัฐ ขณะในยุทธการนาบู เขาได้ขับยานนาบูสตาร์ไฟเตอร์และทำลายยานควบคุมดรอยด์ได้ ความสามารถของเขาสามารถชนะสงครามได้เพียงคนเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่นั่นการเริ่มฉายแววทักษะของเขา ในช่วงสงครามโคลน อนาคินเป็นหนึ่งในนักบินที่เก่งและมีชื่อเสียงมากที่สุดของสาธารณรัฐ เขามีความสมบูรณ์แบบในการเลือกการวางแผน ที่เป็นที่รู้จักที่สุดก็คือทักษะของเขาในการเปิดฉากยิงก่อนที่จะเข้าปะทะแนวของศัตรู ทำให้มีเวลาเล็กน้อยพอให้หลบหลีก เขายังได้แสดงทักษะในการไล่ตามศัตรูได้ดีพอ ๆ กับการหลบหนีศัตรู ซึ่งพรสวรรค์นี้ก็ส่งต่อมาถึงลูกชายของเขา ลุค สกายวอล์คเกอร์ ด้วยเช่นกัน ความสามารถของเขาดึงดูดความสนใจของสมุหนายกพัลพาทีนและคนในสภา ในยุทธการคอรัสซังท์ อนาคินสามารถนำยานอินวิซิเบิลแฮนด์ลงจอดได้อย่างปลอดภัย แม้ว่าเขาจะขับมันแค่เพียงครึ่งลำก็ตาม และมันไม่ได้ถูกสร้างมาให้ลงจอดบนดาวเคราะห์ได้
สกายวอล์คเกอร์เป็นเจไดที่ทรงพลังที่ยังมีชีวิต และเขาก็ยังคงแข็งแกร่งมากขึ้น
— เมซ วินดู
ช่างฝีมือผู้ชำนาญ: อนาคินเป็นช่างยนต์ที่มีความสามารถ เขาสามารถซ่อมได้ทุกอย่างตั้งแต่ดรอยด์จนไปถึงเครื่องขับดัน สกายวอล์คเกอร์น้อยเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่ามันทำงานอย่างไร และความรู้ในเครื่องยนต์ของเขาประกอบกับความสามารถในพลังทำให้เขาขับพาหนะและยานรบส่วนใหญ่ได้ เขาใช้ดรอยด์ของเขาเพื่อประกอบโอโทก้า 222 ของเขาขึ้นมาใหม่และแว่นตาที่ช่วยให้เขาทำงานด้านนี้ได้งานขึ้น เมื่อเขาอายุได้ 9 ปี เขาได้สร้างดรอยด์ชื่อซีทรีพีโอได้แม้ว่าจะมีชิ้นส่วนที่จำกัดเพื่อช่วยเหลือแม่ของเขา สำหรับการแข่งขันบูนทาอีฟคลาสสิก เขาได้ขับยานที่เขาสร้างขึ้นเองจากชิ้นส่วนที่เขาพบในร้านของวัตโต้ เมื่อเขาได้พบกับอดีตเจ้านาย อนาคินได้ใช้ทักษะในการซ่อมแซมเพื่อพิสูจน์ตัวของเขา ในสงครามโคลน อนาคินได้ดัดแปลงยานเดลต้า-7 อีเตอร์สปิริท สตาร์ไฟท์เตอร์และมีชื่อว่านางฟ้าสีคราม อนาคินยังชอบดัดแปลงแก้ไขแขนกลของเขาอยู่บ่อย ๆ ยานไทร์ แอดวานซ์ เอ็กซ์ 1 สตาร์ไฟท์เตอร์ ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเวเดอร์โดยเฉพาะ มีมุมปีกที่กว้าง มีเครื่องยนต์ท้ายที่ยาวกว่ายานไทร์แบบทั่วไป นอกจากนี้ อนาคินยังสามารถเข้าใจในภาษาอิเลคทรอนิคได้อีกด้วย ทำให้เขาพูดคุยกับดรอยด์ได้
ข้าซ่อมอะไรก็ได้
— อนาคิน สกายวอล์คเกอร์, สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 1: ภัยซ่อนเร้น
ความหยั่งรู้ในพลัง: จำนวนมิดิคลอเรี่ยนที่นับไม่ได้ในตัวของเขานั้นทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในเจไดที่ทรงพลังที่สุดในนิกายเจได และทำให้เขามองเห็นอนาคตของผู้อื่นได้ผ่านความฝัน อย่างไรก็ตาม มันยังสร้างความกลัวเขาด้วย จากการที่เห็นอนาคตมากไป เมื่อเขามาถึงวิหารเจไดในวัยเก้าปี เขาเริ่มพัฒนาความรู้ความสามารถได้อย่างรวดเร็วมากกว่าเพื่อนพาดาวันคนอื่น ๆ และเขายังมีความสามารถด้านการใช้พลังที่ทำให้คนสลบได้
เขาทรงพลัง เป็นไปได้ที่จะทรงพลังมากกว่าเราสองคน
— ดาร์ธ ซีเดียสพูดกับโยดา
ผู้ใช้กระบี่แสงที่เก่งกาจ: อนาคินยังเป็นหนึ่งในเจไดที่เก่งกาจด้านวิชากระบี่แสงที่สุดในนิกาย ในช่วงที่เป็นพาดาวัน อนาคินได้ฝึกรูปแบบที่ 5 ชิเอ็นและอาตารุเล็กน้อยซึ่งรวดเร็วกว่า เขาเริ่มศึกษารูปแบบที่ 5 อย่างจริงจัง หลังจากที่เขาพ่ายแพ้เคาท์ดูกูในการต่อสู้ที่จีโอโนซิส บ่งบอกถึงผลลัพธ์การฝึกได้อย่างชัดเจน ทักษะใน ชิเอ็น ของเขา และ การเปลี่ยนจากรูปแบบที่ 4 อาตารุ มาเน้นใช้ ชิเอ็น อย่างเต็มที่แทน เขาก็สามารถเอาชนะเคาท์ดูกูได้ในการดวลกันครั้งที่ 2 บนยานแม่อินวิซิเบิลแฮนด์ ตั้งแต่นั้นมา อนาคินยังใช้ท่า ชิเอ็น ในทุกการต่อสู้ แม้แต่ในตอนที่เขาสู้กับอดีตอาจารย์ของเขา โอบีวัน เคโนบี บนดาวมุสตาฟาร์ แม้ว่าในขณะนั้นทักษะและความเก่งกาจของเขาใน ชิเอ็น จะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ยังด้อยกว่า โซเรซุ ของเคโนบี แต่หลังจากวันเวลาล่วงเลยไปหลายปี เ���โนบีก็แพ้การต่อสู้กับเขาในฐานะซิธลอร์ด บนดาวมรณะ ด้วยความที่เคโนบีมีกำลังอ่อนลงตามวัยชรา แม้ว่าสกายวอล์คเกอร์จะแข็งแกร่งกว่าเคโนบีด้านกายภาพ แต่เคโนบีก็มีทักษะในการวางแผนมากกว่า ตลอดการต่อสู้ เคโนบีใช้พลังกายที่น้อยกว่าในการป้องกันตัวเอง มากกว่าจะใช้มันไปกับการโจมตี และชนะการดวลโดยอยู่บนที่สูงกว่า ความอดทนและใจเย็นของโอบีวัน ประกอบกับประสบการณ์ที่มากกว่าในโซเรซุ นั่นก็เพียงพอต่อการเอาชนะซิธลอร์ดหนุ่มที่มั่นใจในตนเองมาก หลังจากที่ถูกหลอกล่อโดยเคโนบี โทสะของเขาก็นำมาซึ่งความพ่ายแพ้ เมื่อเขากระโดดเข้าหาโอบีวันที่อยู่บนที่สูงกว่า
ซิธลอร์ด
[แก้]เจ้าหยุดข้าไม่ได้หรอก…ดาร์ธ เวเดอร์จะทรงพลังกว่าเราทั้งสองเสียอีก"
— ดาร์ธ ซีเดียสพูดกับโยดา, สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 3: ซิธชำระแค้น
เวเดอร์เป็นนักวางแผนที่ฉลาด และก็ยังคงเป็นอยู่ แม้ว่าสังขารจะโรยราไปตามอายุ และพลังของเขาอ่อนแอลงกว่าก่อนมาก แต่เขายังคงเป็นหนึ่งในนักบินที่เก่งที่สุดของกาแลคซี่ ชุดเกราะของเขาไม่อำนวยต่อความสามารถที่เขาได้มาตั้งแต่วัยเด็ก แต่เขาก็สามารถทำนายการเคลื่อนไหวของเป้าหมายระหว่างต่อสู้ ด้วยการคาดคะเนที่แม่นยำ เขายังคงมีทักษะทางด้านวิศวกรรมที่น่าทึ่งเหมือนเดิม เขาได้ดูแลการออกแบบยานไทร์แอดวานซ์เอ็กซ์ 1 ของเขาเองและการก่อสร้างดาวมรณะดวงที่สอง ทักษะของเขาในกระบี่แสงได้พัฒนาขึ้นในหลายศึกและการต่อสู้ในสงครามโคลนและการกวาดล้างเจไดครั้งใหญ่ เป็นตำนานและได้ทำการฝึกปรืออยู่ตลอด ในช่วงเวลาที่เขาได้ดวลกับเจไดหลายคนในช่วงการกวาดล้าง อย่างไรก็ตาม ความสามารถทั้งหมดนี้ ยังเป็นรองในเรื่องความเชี่ยวชาญด้านพลังของเขา
เนื่องจากแขนขาที่ขาดของเขา และร่างกายที่ไหม้อย่างสาหัส จากการต่อสู้กับเคโนบี ที่มุสตาฟาร์ เขาสูญเสียความสามารถในพลังไปมาก เมื่อเป็นดาร์ธ เวเดอร์ อนาคินได้ประเมินว่าเขามีความแข็งแกร่ง 80% ของจักรพรรดิ แต่ถึงกระนั้น เวเดอร์กลับมีพลัง และทักษะที่เหนือกว่า หากเขาไม่ได้รับบาดเจ็บที่มุสตาฟาร์ เขาก็อาจทรงพลังกว่าจักรพรรดิถึงสองเท่า
พลังของซิธไม่ได้อยู่ที่เลือดเนื้อ แต่อยู่ที่จิตใจ
— จักรพรรดิพัลพาทีน
จักรพรรดิ ได้มองอีกมุมหนึ่งในตอนที่เขาตัดสินใจช่วยชีวิตเวเดอร์ แม้ว่ามันจะจริงที่เขาได้ศิษย์ของเขาที่เป็น"ครึ่งคนครึ่งหุ่น"มาในราคาที่ไม่เบาเลย พัลพาทีนเกิดความคิดที่ว่า ข้อจำกัดของเวเดอร์ในเรื่องความสามารถไม่ได้อยู่ที่กายภาพและเป็นที่จิตของเขา เขาเชื่อว่า หากเวเดอร์เผชิญกับทางเลือกและความผิดหวัง เพื่อดึงเขาออกมาจากความสิ้นศรัทธา มันอาจปลุกพลังในตัวของเขาขึ้นมาอีกครั้ง ถึงกระนั้น ขณะที่เวเดอร์เองตระหนักว่า หากก้าวต่อไปในมุมมองนี้ เขาจะไม่สามารถยอมรับได้ว่าเขากลายเป็นใครและอะไร
การหักเหกระสุนบลาสเตอร์: หนึ่งในพรสวรรค์ของเวเดอร์ก็คือ เขาสามารถบล็อกกระสุนบลาสเตอร์ด้วยมือเปล่าได้ นั่นก็เพราะถุงมือของเขาทำมาจากเส้นใยโลหะไมโครไนซ์ ซึ่งสามารถหักเหอะไรก็ได้ยกเว้นกระบี่แสง และเมื่อบวกกับประสาทสัมผัสในพลัง ทำให้เขาจับทางกระสุนได้อย่างง่ายดาย แต่โดยมากเวเดอร์มักใช้กระบี่แสงหักเหกระสุนบลาสเตอร์ในการต่อสู้
พลังบีบคอ: ดาร์ธ เวเดอร์ดูเหมือนจะชอบใช้พลังบีบคอมาก เขาใช้มันนับครั้งไม่ถ้วนในช่วงชีวิตของเขา ในการจัดการกับ นายทหารจักรวรรดิ ภายใต้บังคับบัญชาของเขาทุกนาย ที่ทำงานไม่ได้เรื่อง ทำงานผิดพลาด หรือขัดคำสั่ง และถ้าหากใครทำให้เวเดอร์โกรธเข้า อาจถูกบีบคอถึงตายได้เช่นกัน รวมทั้งใช้จัดการกับคนของกลุ่มกบฏ เวเดอร์ยังคงใช้พลังบีบคอคนได้แม้ว่า เป้าหมายจะไม่ได้อยู่ในห้องเดียวกับเขาก็ตาม
เวเดอร์ยังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงทางกายภาพของเขา เขาสามารถที่ยกคนให้ลอยจากพื้นได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว หรือยกตัวจักรพรรดิขึ้น และทุ่มเขาลงปล่องเตาปฏิกรณ์ ถึงแก่ความตาย ไม่มีใครรู้ว่าความสามารถนี้มาจากการใช้พลังของเขา หรือพละกำลังของแขนกล อย่างไรก็ตาม มันดูเหมือนว่าจะมาจากการดัดแปลงทางกายภาพมากกว่า อย่างตอนที่เขาบีบคอโอบีวัน ระหว่างการต่อสู้ที่มุสตาฟาร์ ด้วยมือจักรกลของเขา
นอกจากเครื่องช่วยชีวิตของเขาที่ทำให้เขารอด เกราะของเวเดอร์ยังให้การป้องกันจากคมดาบของกระบี่แสงได้อีกด้วย ในการดวลระหว่างเขาและลูกชายของเขาที่นครเมฆา การฟาดฟันจากกระบี่แสงของลุคนั้นสร้างความเสียหายได้แค่ รอยถากตื้น ๆ เท่านั้น แม้ว่ามันจะมากพอที่จะสร้างความประหลาดใจแก่ลอร์ดมืดไม่น้อย เนื่องด้วย นอกจากเคโนบีแล้ว ไม่เคยมีคู่ต่อสู้คนไหนเคยเข้าประชิดตัวและสร้างรอยแผลให้เขาได้มาก่อน
ในการต่อสู้ ดาร์ธ เวเดอร์ สูญเสียการเคลื่อนไหวครึ่งหนึ่งที่เขาเคยมี แต่ด้วยชุดจักรกลของเขาทำให้เขามีพละกำลังมากขึ้น พลังในการฟาดฟันของเขามีมากกว่าคนปกติแม้ใช้แค่มือเดียว เขาจะสงบนิ่งเวลาที่ต่อสู้ มากกว่าที่จะตั้งการ์ดตามกระบวนท่า ช่วงเริ่มการต่อสู้ เวเดอร์จะถือดาบด้วยมือเดียว และเมื่อเขาเอาจริง ก็จะเปลี่ยนมาใช้ทั้งสองมือจับดาบโจมตี เขาจะรุกใส่ศัตรูได้อย่างหนักหน่วง การต่อสู้แบบนี้ต่างจากการต่อสู้แบบเดิมที่เขาเคยมี ซึ่งจะใช้ความเร็วและท่วงท่าที่มากกว่า
พลังจิต: หลังจากเข้าสู่นิกายซิธ กลายเป็น ดาร์ธ เวเดอร์ แล้ว ความสามารถด้านพลังของเขาก็เหมือนจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน เนื่องมาจากความคล่องตัวที่ลดลง เขาจึงเสียเปรียบเมื่อต้องต่อสู้กับผู้ที่ใช้กระบวนท่าที่รวดเร็วกว่าอย่าง รูปแบบที่ 4 อาตารุ เพื่อโต้ตอบฝ่ายตรงข้ามที่มีความรวดเร็วสูง เขาจะใช้พลังเพื่อดึงเอาสิ่งของรอบตัวเขาซึ่งไม่ได้ยึดติดกับพื้นดิน โยนเข้าใส่ศัตรูของเขา โดยปราศจากการใช้กำลังกายของตนเอง ทุกอย่างที่อยู่ในที่สนามรบ สามารถใช้เป็นอาวุธเพื่อบดขยี้ศัตรูได้จากทุกทิศทาง ดาร์ธ เวเดอร์ ใช้ยุทธวิธีนี้เป็นครั้งแรกเมื่อดวลบนมุสตาฟาร์ เขาดึงเอาชิ้นส่วนโลหะจากผนังและโยนมันใส่ โอบีวัน เคโนบี ดาร์ธ เวเดอร์ยังใช้กลยุทธ์นี้อีกครั้ง เมื่อเขาพยายามเอาชนะอัศวินเจได โรอัน ชรีน และในการดวลกับ ลุค สกายวอล์คเกอร์ ครั้งแรกที่ เบสพิน
ในบางครั้งที่เจอกับศัตรูที่ใช้กระบี่แสงเหมือนกัน เขาจะใช้พลังหยุดคมดาบที่พุ่งโจมตีเข้ามา แทนที่จะตอบโต้ด้วยกระบี่แสงเหมือนเคย เพื่อประหยัดพลังงาน ซึ่งเขาไม่เคยทำมาก่อน���นช่วงที่ยังเป็นเจได นอกจากนี้ เขายังสามารถหยุดได้แม้กระทั่งยานที่กำลังบินอยู่ และดึงมันให้ร่วงสู่พื้นได้สบาย ๆ ซึ่งเขาใช้วิธีนี้ตอนที่หยุดยานลำเลียงของกลุ่มกบฎที่โอบีวันอาศัยหลบหนีไปด้วย แต่สุดท้ายเวเดอร์ก็พบว่านั่นเป็นกลลวง ซึ่งยานที่โอบีวันกับกลุ่มกบฎใช้หนีจริงเป็นอีกลำหนึ่ง
แม้ว่า ดาร์ธ เวเดอร์ จะเป็นซิธลอร์ดที่ทรงพลัง เขาก็ไม่สามารถสร้างหรือหักเหพลังสายฟ้าได้ มันเนื่องมาจากชิ้นส่วนกลไกของเขา และหากเขาพยายามใช้พลังสายฟ้า มันก็จะเกิดการขัดข้อง หยุดการทำงานของเครื่องช่วยชีวิตของเขา และอาจฆ่าเขาได้ นี้เป็นเหตุผลว่าเขาตายอย่างไร หลังจากที่เขาสำนึกผิดและช่วยลูกชายของเขาเอาไว้ ทำให้เขาถูกสายฟ้าของพัลพาทีนกระหน่ำใส่ เนื่องมาจากพลังที่มีจำกัดของเขาเพราะแขนกล ดาร์ธ ซีเดียส พบว่าเขาไม่ได้มีพลังเทียบเท่ากับที่คำพยากรณ์ของซิธกล่าวเอาไว้ ถึงแม้ว่าซีเดียสใช้เวลามากกว่าทศวรรษ เพื่อให้ได้สกายวอล์คเกอร์มาเป็นศิษย์ก็ตาม เมื่อเขาพบ ลุค สกายวอล์คเกอร์ พัลพาทีนก็พุ่งเป้าไปที่เขาเพื่อทำให้เขาเข้าสู่ด้านมืดของพลัง เพื่อมาแทนที่เวเดอร์ผู้พ่อ
การฝึกใช้กระบี่แสง
[แก้]"หากเจ้าใช้เวลาในการฝึกเพลงดาบของเจ้า เจ้าจะกลายเป็นคนที่คู่ควรกับอาจารย์โยดาในเพลงดาบ"
"ข้านึกว่าข้าเป็นแล้วเสียอีก"
"เป็นเพียงในความคิดเจ้า พาดาวันหนุ่มของข้า"— โอบีวัน เคโนบีและอนาคิน สกายวอล์คเกอร์, Star Wars Episode II: Attack of the Clones
อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ได้รับการฝึกฝนโดยเจไดที่ได้รับความคาดหวังมากที่สุดของนิกาย โอบีวัน เคโนบี อนาคินได้รับประเพณีของกระบี่แสงมาจากเขา รูปแบบของอนาคินประกอบขึ้นจากอาจารย์หลายคน มันทำให้เขาเป็นผู้ที่มีความสามารถที่โดดเด่นตั้งแต่อายุยังน้อย อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ สามารถใช้รูปแบบการต่อสู้ด้วยกระบี่แสงได้อย่างดีโดยเฉพาะชิเอ็น ชิเอ็นจัดเป็นเพลงดาบที่ดุดัน ซึ่งเน้นไปที่พละกำลัง และการโจมตีเป็นวงกว้าง อนาคินยังพลิกแพลงโดยการประยุกต์เอาโซเรซุที่โอบีวันใช้ มาดัดแปลงให้กลายเป็นท่าโจมตี แต่นั่นก็เป็นท่าอันตรายต่อตัวเขาด้วยเช่นกัน เพราะระหว่างที่เขาโจมตีศัตรู การ์ดของเขาจะมีช่องว่าง และดาบอาจพลาดโดนตัวเองได้ ด้วยความที่อนาคินมีจำนวนมิดิคลอเรียนในตัวสูงมาก เขาจึงเรียนรู้และฝึกฝน ชิเอ็น ได้รวดเร็วกว่าพาดาวันคนอื่น ๆ ในนิกาย เมื่อถึงยุทธการจีโอโนซิสอนาคินก็เริ่มเชื่อว่าเขาเป็นหนึ่งในนักดาบที่เก่งที่สุดของนิกาย และนั่นนำมาซึ่งบทเรียนราคาแพงที่เขาจะจำไปอีกนาน
"เจ้าดุดันเกินไปอนาคิน ระวังไว้ จุดหมายของเจไดคือปกป้องชีวิต ไม่ใช่ทำลาย"
"ความเมตตาไม่ได้ช่วยให้ชนะศัตรู ท่านอาจารย์ นั่นแหละที่จะทำให้ท่านแพ้"
"ยอมรับเถอะว่าท่านแพ้แล้ว""นั่นไง ท่านไม่มีอาวุธแล้ว มันจบแล้วล่ะ"
"เจ้ากระหายในชัยชนะ อนาคิน มันบังตาเจ้า"
"เจ้าเป็นยอดนักรบ อนาคิน แต่การพิสูจน์ตัวเองของเจ้า คือสิ่งต้องแก้ไข และจนกว่าเจ้าเปลี่ยนแปลงได้ เจ้าก็ยังคงเป็นพาดาวัน"— โอบีวัน เคโนบีและอนาคิน สกายวอล์คเกอร์, Star Wars : Obi wan Kenobi
ในที่สุดอนาคินได้รับบทเรียนจากการต่อกรกับเคาท์ดูกูในยุทธการจีโอโนซิส ด้วยความที่มั่นใจมากเกินไปทำเขาไม่ใช้ชิเอ็นและเปลี่ยนมาใช้อาตารุแทนหลังจากที่ได้รับกระบี่แสงเพิ่มจากโอบีวัน ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ได้ช่วยให้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบเลย อย่างไรก็ตาม ด้วยประสบการณ์ที่มากกว่า ทำให้ดูกูสกัดดาบเล่มที่สองของอนาคินออกได้อย่างง่ายดาย บีบให้อนาคินต้องกลับไปใช้ชิเอ็น แม้ว่าเขาจะเชี่ยวชาญในรูปแบบดังกล่าว ผู้ถูกเลือกก็พิสูจน์ว่าตนไม่ได้เก่งไปกว่า มาคาชิ ของดูกูเลย อนาคินต้องเสียแขนขวาไปและได้รับการช่วยเหลือเอาไว้โดยอาจารย์โยดาที่มาทันเวลาพอดี
อนาคินรู้ซึ้งจากบทเรียนครั้งนั้น เขาใช้เวลาอีกสามปีในสงครามโคลนเพื่อพัฒนาทักษะของเขาในรูปแบบที่ 5 นอกจากชิเอ็นแล้วสกายวอล์คเกอร์ก็ยังเก่งในรูปแบบอื่น ๆ ที่เขาได้ฝึกฝน และนำมันมาผสมผสานกันในแบบของเขาเอง ซึ่งเขาก็ได้ใช้มันในช่วงตลอดสงครามโคลน จนฝีมือพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งมาถึงการดวลอีกครั้งบนยานธงอินวิซิเบิลแฮนด์ ระหว่างการดวลกับอนาคิน ดูกูพบว่าเพลงดาบ ชิเอ็น ของอนาคินนั้นเหนือกว่าใคร ๆ ที่เขาเคยพบมาก่อนในชีวิต
อย่างไรก็ตามการใช้รูปแบบที่ 5 ของอนาคินนั้นไม่ได้ทำให้เขาเป็นต่อในการดวลกับคู่ต่อสู้เลย มันทำให้การตัดสินใจมืดมัว ผลักดันเข้าให้เข้าสู่ด้านมืดของพลังในบางครั้ง สิ่งนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในการรบที่ดุเดือดของอนาคินในช่วงสงครามโคลน
เมื่อพบดูกูอีกครั้งในยุทธการคอรัสซัง เมื่อความเชี่ยวชาญใน ชิเอ็น ของอนาคินที่ผ่านการฝึกฝนมาพอสมควร ผนวกกับวัยที่ยังหนุ่มของเขา สภาพร่างกายที่ดีกว่า พละกำลังที่เหลือล้น และแข็งแกร่ง มันทำให้อนาคินสามารถแก้ทาง มาคาชิ ของดูกูได้ เมื่อเอาชนะดูกูได้ อนาคินดูเหมือนว่าจะได้พิสูจน์ถึงความเก่งกาจที่เพิ่มพูนของเขา ทำให้เขาเป็นหนึ่งในนักดาบที่เก่งที่สุดในนิกาย และมันยังพิสูจน์ให้ซีเดียสเห็นด้วยว่าอนาคินนั้นพร้อมที่จะเป็นศิษย์คนต่อไปของเขาแล้ว
เมื่ออนาคิน สกายวอล์คเกอร์เข้าสู่ด้านมืดและกลายเป็น ดาร์ธ เวเดอร์ เขาก็ยังคงใช้รูปแบบที่ 5 แต่มันกลับเป็นไปในทางที่เลวร้ายกว่าเดิม ความประมาทของเขาก็กลายมาเป็นจุดอ่อนของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะทรงพลังกว่าโอบีวัน เขาก็ยังบกพร่องเรื่องประสบการณ์ ความสุขุม และสมาธิมั่นคงน้อยกว่าโอบีวัน แม้ว่าเวเดอร์จะแข็งแกร่งด้วยด้านมืดของพลัง แต่อารมณ์ของเขาอยู่เหนือความนึกคิด จนมันทำให้เขาต้องพ่ายแพ้ต่อโอบีวันอย่างราบคาบ
ความแข็งแกร่งของเวเดอร์มาจากการโจมตีแบบกระหน่ำและรุนแรง ในขณะที่ความแข็งแกร่งของเคโนบีมาจากการป้องกันแบบมีชั้นเชิง โอบีวันได้รับการยอมรับว่าเป็นยอดฝีมือในด้านรูปแบบป้องกันอย่างรูปแบบที่ 3/โซเรสุ และการทุ่มเทฝึกปรือของเขาได้ส่งผลให้เห็นถึงความสำเร็จ ขณะที่เวเดอร์โมโหร้ายและต่อสู้ด้วยโทสะ ซึ่งนั่นทำให้เขาเสียสมาธิและทำให้การป้องกันมีช่องว่าง ก่อนหน้านี้เคโนบีได้ประสบการณ์จากการดวลกับ กรีวัส ซึ่งนับเป็นศัตรูที่แทบจะไร้จุดบอด แต่เขาก็ชนะมาได้โดยถือคติที่ว่า "รอจนกว่าศัตรูจะเสียจังหวะ" อันเป็นหลักการของ โซเรสุ ที่จะต้านทานคู่ต่อสู้พร้อมกับหาจุดอ่อนไปด้วย จนกระทั่งเขาหรือเธอสูญเสียจังหวะในการโจมตี ผลที่ได้คือเวเดอร์ถูกตัดแขน 1 ข้าง และขาทั้ง 2 ข้าง
ในด้านชุดพยุงชีพของเขา มันเป็นการยากมากที่จะต่อสู้ด้วยการใช้กระบวนท่าที่พลิกแพลงอย่างอาตารุ ในตอนแรก ๆ ที่เขาได้สวมชุด เวเดอร์ถูกบังคับให้ต้องใช้พละกำลังมหาศาลกระแทกศัตรูออกไป และสังหารศัตรูที่ล้มลงรวมทั้งผสมโซเรสุเข้ากับอาตารูอีกด้วย
อย่างไรก็ตามเวเดอร์สามารถที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของเขาไปได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการพัฒนากระบวนท่า เจ็มโซ ที่รวมเข้ากับ อาตารุ โซเรสุ และมาคาชิเอาไว้ ด้วยรูปแบบใหม่นี้ เวเดอร์สามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วอีกครั้ง และเพลงดาบของเขาก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นเพลงดาบที่คาดเดาทางได้ยาก แต่โดยรวมไม่มีอะไรมากนอกจากการฟาดฟันเพื่อสังหารคู่ต่อสู้
เวเดอร์สามารถผสมผสานเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละกระบวนท่าได้มากมาย บางครั้งก็สู้โดยใช้มือเพียงข้างเดียวเพื่อความแม่นยำ แต่ประหยัดพลังงาน เขาได้ใช้รูปแบบดังกล่าวกับโอลี สตาร์สโตน และลุค สกายวอล์คเกอร์ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาต้องป้องกันตัวเอง เวเดอร์จะต่อสู้โดยใช้สองมือจับด้ามดาบโดยใบมีดจะยื่นไปที่ด้านหน้าของเขา ซึ่งเปลี่ยนตำแหน่งได้โดยเพียงขยับข้อมือเท่านั้น ขณะที่มันเหมาะสำหรับการป้องกันช่วงตัวของเขาและแผงควบคุมชุด การใช้รูปแบบนี้ก็ทำให้แขนขาของเวเดอร์ตกเป็นเป้าได้ เวเดอร์ใช้รูปแบบดังกล่าวต่อกรกับโรอัน ชรีน ในช่วงยึดครองคาชีคและกับโอบีวัน เคโนบีในตอนที่เขาต่อสู้กันบนดาวมรณะดวงแรก
ขณะที่เขาใช้รูปแบบดัดแปลงเพื่อเพิ่มผลสูงสุด เวเดอร์ก็จะถอยมาตั้งหลักบางครั้ง ก่อนจะทำการกระหน่ำโจมตีโต้ ในช่วงแรก ๆ ที่เขาใช้ชุดอย่างงุ่มง่าม หรือเป็นอย่างที่เห็นตอนที่เขาต่อสู้กับลุค สกายวอล์คเกอร์บนเบสพิน
หลังจากที่เขาได้รับบทเรียนจากการดวลกับเคโนบี เขาก็ได้เรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ขณะปะทะกับศัตรู และหาทางที่จะควบคุมด้านมืดเพื่อไม่ให้มันอยู่เหนือความคิดของเขา
ประมาณ 3.5 ปีหลังยุทธการยาวิน เวเดอร์ได้สั่งให้ดรอยด์ที่ใช้กระบี่แสงต่อสู้กับเขา พวกมันรวดเร็วและแข็งแรงกว่าคนปกติทั่วไปและถูกโปรแกรมด้วยทักษะดายและรูปแบบการต่อสู้มากมาย เวเดอร์สามารถเอาชนะพวกมันได้ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม เมื่อทักษะของเขาได้รับการพัฒนาแล้วเวเดอร์ก็พบว่าพวกดรอยด์ก็ง่ายเกินไปที่จะเอาชนะจนเขาเริ่มต่อสู้แบบสองต่อหนึ่งแทน
ลุค สกายวอล์คเกอร์ ยังสามารถต่อสู้กับซิธลอร์ดผู้นี้ได้ระยะหนึ่งบนเบสพิน ถึงแม้ว่าจะได้รับการฝึกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อถึงตอนที่พบกันบนดาวมรณะ ลุคได้สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบที่ 5 ของเวเดอร์ด้วยการต่อสู้อย่างดุเดือด ซึ่งลุคเองก็ใช้กระบวนท่า รูปแบบที่ 5 เช่นเดียวกับพ่อของเขาด้วย แต่ด้วยคำสั่งสอนจากเคโนบี และโยดา ลุคจึงสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าเวเดอร์ สิ่งนี้เป็นจุดที่ทำให้ลูกชายของเขามีพลังเพิ่มขึ้น กระทั่งเจาะทะลุการป้องกันของเวเดอร์ และเป็นฝ่ายได้เปรียบเหนือซิธลอร์ดผู้มากประสบการณ์ โดยที่ไม่ลงมือสังหาร ในที่สุดลุคก็สามารถเอาชนะลอร์ดมืดได้ และนำพ่อของตนกลับมาสู่แสงสว่าง
กระบี่แสง
[แก้]กระบี่แสงของอนาคิน
[แก้]อาวุธนี้คือชีวิตเจ้า
— โอบีวัน เคโนบีพูดกับอนาคิน สกายวอล์คเกอร์, Star Wars Episode II: Attack of the Clones
อนาคินได้สร้างและใช้กระบี่แสงอย่างน้อยสองเล่มในตอนที่เขาเป็นเจได ในปีที่ 28 ก่อนยุทธการยาวิน ในฐานะพาดาวันหนุ่ม อนาคินได้เดินทางไปที่อิลัมเพื่อการทดสอบทักษะในการสร้างกระบี่แสงเล่มแรก ขณะที่สร้างกระบี่แสงของเขาในถ้ำลึกแห่งหนึ่ง อนาคินได้เห็นดาร์ธ มอลในนิมิตของเขา หลังจากการพยายาม อนาคินก็สามารถเอาชนะตัวตนของความมืดนี้ได้ และตื่นจากสมาธิ อนาคินพบว่าเขาได้สร้างกระบี่แสงที่มีคริสตัลอดีแกนอยู่ข้างใน ซึ่งมีที่มาจากถ้ำบนอิลัม ทำให้ใบดาบมีแสงสีน้ำเงิน การออกแบบด้ามจับก็ออกแบบเพื่อให้เหมาะกับการฝึกรูปแบบที่ 5 ของเขา เขาทำในสิ่งที่พาดาวันคนอื่นไม่ทำกัน คือ แทนที่จะสร้างกระบี่แสงที่เหมือนกับของอาจารย์ เขากลับสร้างกระบี่แสงที่มีอานุภาพสูงสุดแทน
กระบี่แสงนี้ถูกใช้จนถึงสงครามโคลน มันถูกทำลายครั้งแรกในโรงงานดรอยด์ ช่วงยุทธการจีโอโนซิส อย่างไรก็ตามมันถูกซ่อมหลังจากนั้น และถูกใช้งานต่อในสงครามโคลน แต่ไม่มีใครรู้ว่าอนาคินเลิกใช้มันตอนไหน
เมื่อถึงจุดนี้ อนาคินได้สร้างกระบี่แสงเล่มใหม่ขึ้นมา อาวุธนี้เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมและทรงอานุภาพ แสดงให้เห็นถึงทักษะด้านการช่างของเขา การสร้างและออกแบบพิเศษสำหรับการใช้กระบวนท่าแบบ ชิเอ็น(เจ็มโซ) โดยเฉพาะ ซึ่งเขาได้กลายเป็นผูเชี่ยวชาญเพลงดาบนั้นในเวลาต่อมา
19 ปีก่อนยุทธการยาวิน หลังจากการดวลของเขากับ โอบีวัน เคโนบี ที่มุสตาฟาร์ กระบี่แสงนี้ถูกเก็บไปโดยอดีตอาจารย์ของอนาคิน ซึ่งเขาได้เก็บมันไว้ที่กระท่อมบนดาวทาทูอีน ในปียุทธการยาวิน เมื่อได้เวลาอันเหมาะสม โอบีวันได้มอบกระบี่แสงของอนาคินที่เขาเก็บมาจากมุสตาฟาร์ให้กับ ลุค ลูกชายของอนาคิน ผู้ที่โอบีวันให้การดูแลมาตลอด ในระหว่างเฝ้ามองการเติบโตของลุค โอบีวันได้ดัดแปลงกระบี่แสงเล่มนี้ให้ใช้งานง่ายขึ้น เมื่อดาบมาอยู่ในมือของลุค สกายวอล์คเกอร์ ใบดาบของอนาคินได้กวัดแกว่งฟาดฟันศัตรูอีกครั้ง แม้แต่กับตัวเขาเองในฐานะลอร์ดมืดแห่งซิธ ดาร์ธ เวเดอร์ อย่างไรก็ตาม เวเดอร์ยังคงจำกระบี่แสงเล่มเดิมของเขาได้ดี แม้จะไม่ได้เห็นมันมานาน
- ในการดวลกับลูกชายของเขาบนเบสพิน เวเดอร์ได้ตัดมือขวาของลุค ทำให้ทั้งมือของลุคและกระบี่แสงตกลงไปในส่วนลึกของนครลอยฟ้า ท้ายที่สุด กระบี่แสงและมือของลุคถูกพบในเวลาต่อมา
"อะไรกันนี่?"
"กระบี่แสงของพ่อเธอ นี่คืออาวุธของอัศวินเจได มันไม่เหมือนกับปืนบลาสเตอร์ อาวุธที่สวยงามสำหรับยุคที่ศิวิไลซ์กว่า"— ลุค สกายวอล์คเกอร์กับโอบีวัน เคโนบี, Star Wars Episode IV: A New Hope
ไม่กี่เดือนถัดมาหลังจากการตายของอนาคินบนเอนดอร์ โจรูอัส คาบอท ตัวโคลนนิ่งของอาจารย์เจไดโจรัส คาบอท ได้ใช้มือของลุคที่ถูกตัดมาทำโคลนนิ่งชื่อลูค สกายวอล์คเกอร์ ลูคได้ใช้ดาบของอนาคินต่อสู้กับลุคและมารา เจด หลังจากที่ลูคถูกฆ่า ลุคได้เก็บอาวุธของพ่อและมอบมันให้เป็นของขวัญแก่มารา กระบี่แสงอยู่ในครอบครองของมาราหลายปีและถูกส่งต่อไปให้หลานชายของอนาคินเบน สกายวอล์คเกอร์ ต่อมามันได้ถูกเก็บไว้ในบ้านของสกายวอล์คเกอร์บนออสซัส
แต่ในภาพยนตร์สตาร์ วอร์ส: อุบัติการณ์แห่งพลัง กระบี่แสงของอนาคินที่ได้หายสาบสูญไปในการประลองที่นครเมฆาได้ปรากฏตัวอีกครั้งที่ห้องใต้ดินของบาร์แห่งหนึ่งของ แมส คานาต้า บนดาว ทักโคดานา โดยไม่ทราบเลยว่ามันไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไรเป็นเวลา 30 ที่ผ่านไป ภายหลังจากที่กองทัพปฐมภาคีได้เข้ารุกรานดาวทักโคดานา มาส คานาต้าได้ส่งมอบกระบี่แสงให้แก่ฟินน์(สตอร์มทรูปเปอร์ปฐมภาคีทีแปร์พักตร์มาอยู่ฝ่ายต่อต้าน)เพื่อนำไปมอบให้กับเรย์ (หญิงสาวคนเก็บขยะบนดาวจัคคู) ในขณะที่กำลังสู้รบกับเหล่าสตอร์มทรูปเปอร์ปฐมภาคี กระบี่แสงนี้ได้ถูกใช้งานโดยฟินน์ และเวลาต่อมาฟินน์ได้ประลองกระบี่แสงกับไคโล เร็นที่ฐานปฏิบัติการสตาร์คิลเลอร์จนพ่ายแพ้ กระบี่แสงได้ตกลงพื้น เร็นได้ใช้พลังดึงเพื่อที่จะหยิบเอาไว้เป็นของตนเอง แต่เรย์ได้ใช้พลังดึงกระบี่แสงอย่างไม่รู้ตัวและประลองกับเร็นจนสามารถเอาชนะมาได้ หลังจากนั้นเป็นต้นมากระบี่แสงก็ตกทอดมาอยู่กับเรย์ หลังจากที่เรย์พบพิกัดที่อยู่ของลุค และนำกระบี่แสงเล่มนี้ไปคืนให้ ลุคกลับโยนมันทิ้งอย่างไม่ใยดี เพราะไม่อยากนึกถึงอดีต แต่เรย์ก็ไปเก็บมันกลับมาและได้ฝึกเป็นเจไดในที่สุด ลุคจึงมอบกระบี่แสงเล่มนี้ให้กับเรย์ไปโดยปริยาย ต่อมาหลังจากนั้นกระบี่แสงนี้ได้ถูกทำลายลงในขณะที่เร็นและเรย์ได้ใช้พลังดึงแย่งชิงกระบี่แสงบนเซอเพอร์เมซี่ (Supremacy) ยานพิฆาตดาราของปฐมภาคีระดับสูงสุดของผู้นำสูงสุดสโน๊ค จนกระทั่งในภาคสตาร์ วอร์ส: กำเนิดใหม่สกายวอล์คเกอร์ พบว่ากระบี่แสงเล่มนี้ได้รับการซ่อมแซมจนกลับมาใช้การได้ และท้ายที่สุดหลังจบศึกสงคราม เรย์ได้เดินทางกลับมายังทาทูอีนอีกครั้ง และนำกระบี่แสงเล่มนี้ พร้อมกับของเลอาอีกหนึ่งเล่ม กลับมาฝังไว้คู่กันบริเวณหน้าบ้านเก่าของลุค เปรียบเสมือนอนุสรณ์เพื่อเป็นการระลึกถึงตระกูลสกายวอล์คเกอร์
กระบี่แสงของเวเดอร์
[แก้]หลังจากที่เขาบาดเจ็บสาหัสจากการดวลที่มุสตาฟาร์ และรอดมาได้ เวเดอร์ได้สร้างกระบี่แสงเล่มใหม่ โดยที่เขาทำการปรับแต่งกระบี่แสงเล่มนี้ตลอดเวลา แม้ว่าจะมันคล้ายคลึงกับรูปทรงดาบเล่มแรกที่เขาใช้ตอนที่เป็น อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ มันก็มีข้อแตกต่าง มันแข็งแกร่งกว่า วัสดุเป็นอัลลอยสีดำ และดูเกรี้ยวกราดกว่า เหมาะกับตัวตนใหม่ของเขา มีใบดาบเกิดจากคริสตัลสังเคราะห์สีแดงที่ ซีเดียส อาจารย์ของเขาให้มา
กระบี่แสงของเวเดอร์หายไปเมื่อมันหล่นไปในปล่องของดาวมรณะดวงที่สอง พร้อมกับมือกลของเขาที่ถูกตัดตอนที่ดวลกับลูกชายของเขา ซึ่ง ไคโลเร็น ผู้เป็นหลานชายต้องการกระบี่แสงเล่มนั้นมากเช่นกัน แต่ก็หาไม่พบ
เป็นที่รู้กันว่าเวเดอร์สร้างกระบี่แสงมากกว่าหนึ่งเล่ม แต่เนื่องมาจากการดัดแปลงที่เวเดอร์ทำกับอาวุธของเขา มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะหาว่ามันแตกต่างกันอย่างไร
กระบี่แสงอย่างน้อยหนึ่งเล่มของเวเดอร์กันน้ำ
สิ่งน่าสนใจคือ ทั้ง ๆ ที่เวเดอร์อยากที่จะลืมตัวตน อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ เขากลับสร้างกระบี่แสงที่มีด้ามรูปทรงคล้ายกัน
ทุกครั้งที่เวเดอร์จะต้องเข้าพบจักรพรรดิพัลพาทีน เขาจะจับที่กระบี่แสงของเขาอยู่เสมอ โดยไม่รู้ตัว ซึ่งคาดว่าเป็นเพราะความกดดันในใจเขา
อ้างอิง
[แก้]หมายเหตุ
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ Wakeman, Gregory (December 4, 2014). "George Lucas Was Terrible at Predicting The Future Of Star Wars". CinemaBlend. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 14, 2020. สืบค้นเมื่อ December 2, 2018.
- ↑ "Darth Vader – #1 Top 100 Villain". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 9, 2022. สืบค้นเมื่อ February 4, 2016.
- ↑ Shea, Andrea (February 18, 2008). "Darth Vader: The Tragic Man Behind the Mask". NPR. สืบค้นเมื่อ April 1, 2024.
- ↑ Diaz, Jesus (July 31, 2018). "How Darth Vader became the most iconic evil figure in film history". Fast Company. สืบค้นเมื่อ April 2, 2024.
- ↑ 5.0 5.1 Star Wars Episode I: The Phantom Menace อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "The Phantom Menace" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ 6.0 6.1 Star Wars Episode II: Attack of the Clones
- ↑ Star Wars Episode III: Revenge of the Sith
- ↑ สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 2 : กองทัพโคลนส์จู่โจม ฉบับนวนิยาย
ดูเพิ่ม
[แก้]- สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 1 ภัยซ่อนเร้น, 1st edition paperback, 1999. Terry Brooks, George Lucas
- สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 2 กองทัพโคลนส์จู่โจม, 2003. R. A. Salvatore, ISBN 0-345-42882-X
- สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 3 ซิธชำระแค้น, 1st edition hardcover, 2005. Matthew Woodring Stover, George Lucas, ISBN 0-7126-8427-1
- The New Essential Guide to Characters, 1st edition, 2002. Daniel Wallace, Michael Sutfin, ISBN 0-345-44900-2
- Vader: The Ultimate Guide, 2005.
- Star Wars: The Visual Dictionary, hardcover, 1998. Dr. David West Reynolds, ISBN 0-7894-3481-4
- Star Wars: The Phantom Menace: The Visual Dictionary, hardcover, 1999. Dr. David West Reynolds, ISBN 0-7894-4701-0
- Star Wars: Attack of the Clones: The Visual Dictionary, hardcover, 2002. Dr. David West Reynolds, ISBN 0-7894-8588-5
- Star Wars: Revenge of the Sith: The Visual Dictionary, hardcover, 2005. James Luceno, ISBN 0-7566-1128-8
- "Darth Vader in Games: A Visual History". IGN. October 28, 2010.