กระดังงาแอฟริกา
| กระดังงาแอฟริกา | |
|---|---|
.png)
| |
| Illustration from Curtis's Botanical Magazine, 1831 | |
| |
| เมล็ดของกระดังงาแอฟริกา | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ 
| |
| อาณาจักร: | พืช Plantae |
| เคลด: | พืชมีท่อลำเลียง Tracheophytes |
| เคลด: | พืชดอก Angiosperms |
| เคลด: | แมกโนลิด Magnoliids |
| อันดับ: | อันดับจำปา Magnoliales |
| วงศ์: | วงศ์กระดังงา Annonaceae |
| สกุล: | Monodora Monodora (Gaertn.) Dunal |
| สปีชีส์: | Monodora myristica |
| ชื่อทวินาม | |
| Monodora myristica (Gaertn.) Dunal | |
| ชื่อพ้อง[1] | |
| |
กระดังงาแอฟริกา (อังกฤษ: Calabash nutmeg ชื่ออื่น ๆ คือ Jamaican nutmeg, African nutmeg, ehuru, ariwo, awerewa[2] ehiri, airama, African orchid nutmeg, muscadier de Calabash and lubushi[3][4] ehiri, airama, African orchid nutmeg, muscadier de Calabash และ lubushi[3];ชื่อวิทยาศาสตร์: Monodora myristica) เป็นพืชมีดอกในวงศ์กระดังงา พบในเขตร้อน
ผลสดมีรสเปรี้ยวแบบมะนาว แล้วจะทำให้ชาที่ปลายลิ้น เนื่องจากมีสารระงับความรู้สึกที่เรียก navocaine เป็นอาหารของสัตว์เช่น ลิงชิมแปนซี[5] ในแอฟริกาตะวันตกใช้เมล็ดเป็นเครื่องเทศ[3] น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากใบประกอบด้วย β-caryophyllene, α-humulene และ α-pinene ในเมล็ดมี α-phellandrene, α-pinene, myrcene, limonene และ pinene[6] เปลือกไม้ใช้เป็นยารักษาโรคกระเพาะอาหาร เนื้อไม้แข็งใช้ทำเครื่องใช้ต่าง ๆ ได้[4]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Monodora myristica (Gaertn.) Dunal". World Checklist of Selected Plant Families (WCSP). Royal Botanic Gardens, Kew. สืบค้นเมื่อ 18 April 2017 – โดยทาง The Plant List.
- ↑ Burkill, H.M. (1985). The useful plants of West tropical Africa (Ed. 2. ed.). Kew: Royal Botanic Gardens. ISBN 978-0-947643-01-0.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 Celtnet Recipes. "Calabash Nutmeg Information Page". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-04-05. สืบค้นเมื่อ 4 May 2011.
- ↑ 4.0 4.1 Weiss, E.A. (2002). Spice Crops. Oxon: CABI Publishing. pp. 102–103. ISBN 0-85199-605-1.
- ↑ ริชาร์ด แรงแฮม. ไฟในประวัติศาสตร์มนุษย์ แปลโดยศิริรัตน์ ณ ระนอง. กทม. มติชน. 2555
- ↑ Fournier, G.; และคณะ (1999). "Annonaceae essential oils: a review". Journal of Essential Oil Research. 11 (2): 131–142. doi:10.1080/10412905.1999.9701092.