เบลีซแบร์ริเออร์รีฟ
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
เบลีซแบร์ริเออร์รีฟ เป็นแนวปะการังที่มีชีวิตอยู่ซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองของโลก เทือกปะการังนี้มีความยาว 300 กิโลเมตรตามแนวคาบสมุทรยูกาตัน[1] ระบบนิเวศที่หลากหลายนี้ เริ่มนับตั้งแต่ทางตอนเหนือของเบลีซ ที่ติดกับเม็กซิโก ไล่ยาวไปจนถึงตอนใต้ที่ติดกับกัวเตมาลา รวมความยาวได้ประมาณ 300 กิโลเมตร นอกจากพืดหินปะการัง เขตอนุรักษ์นี้ยังมีเกาะปริ่มน้ำ 450 เกาะ และมีเกาะปะการังวงแหวนอีกสามเกาะ ซึ่งก็คือพืดหินปะการังรูปวงแหวนที่ล้อมรอบทะเลสาบน้ำเค็ม มีพื้นที่รวมกันทั้งหมด 960 ตารางกิโลเมตร หรือ 600,000 ไร่ ได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษภายใต้อนุสัญญามรดกโลก โดยบริเวณที่ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกมีตั้งแต่แนวปะการังใต้น้ำ ทะเลสาบ ปากแม่น้ำ ป่าชายเลน เกาะที่เกิดจากหินปะการัง หาดทราย รวมถึงพื้นที่ชายฝั่ง แนวปะการังแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก โดยถือว่าเป็นแนวปะการังที่มีขนาดใหญ่อันดับที่ 2 ของโลก รองจากเกรตแบร์ริเออร์รีฟในออสเตรเลีย และเบลีซแบร์ริเออร์รีฟยังเป็นแนวปะการังที่ขนาดใหญ่และอุดมสมบูรณ์ที่สุดในซีกโลกเหนือและซีกโลกตะวันตก
ระบบอนุรักษ์เทือกปะการังเบลีซ * | |
---|---|
แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก | |
เกรตบลูโฮล | |
พิกัด | 17°15′55.4″N 88°02′56.6″W / 17.265389°N 88.049056°W |
ประเทศ | เบลีซ |
ภูมิภาค ** | ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน |
ประเภท | มรดกทางธรรมชาติ |
เกณฑ์พิจารณา | (vii), (ix), (x) |
อ้างอิง | 764 |
ประวัติการขึ้นทะเบียน | |
ขึ้นทะเบียน | 1996 (คณะกรรมการสมัยที่ 20) |
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีแหล่งมรดกโลก ** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก |
สปีชีส์
แก้เบลีซแบร์ริเออร์รีฟเป็นบ้านที่มีขนาดใหญ่ของพืชและสัตว์ และยังเป็นสถานที่ที่มีระบบนิเวศหลากหลายแห่งหนึ่งของโลก
ตัวอย่างสปีชีส์ที่พบ
แก้- พันธุ์พืช มากกว่า 178 ชนิด
- ปะการังแข็ง มากกว่า 70 ชนิด
- ปะการังอ่อน มากกว่า 36 ชนิด
- ปลา มากกว่า 500 ชนิด
- สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอีกกว่า 100 ชนิด
- แมนนาทีอินเดียตะวันตก ซึ่งพบในแถบอ่าวเม็กซิโกและทะเลแคริบเบียนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มีเพียงร้อยละ 10 ของแนวปะการังเท่านั้นที่ได้รับการสำรวจ อีกร้อยละ 90 ยังคงไม่ได้รับการสำรวจ จึงมีโอกาสพบสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ได้ตลอดเวลา
หลักเกณฑ์การพิจารณาให้เป็นแหล่งมรดกโลก
แก้(vii) : การเกิดแนวปะการัง ต้องใช้ระยะเวลานับล้านปี เพราะแนวปะการังคือปะการังและสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ รวมถึงซากของสิ่งมีชีวิตในทะเลต่าง ๆ เช่น หอยที่มีเปลือกแข็ง สาหร่ายหินปูน มารวมกัน โดยปะการังเองและสิ่งมีชีวิตที่สร้างหินปูนได้ เมื่อตายไปแล้วจะยังคงเหลือซากหินปูนทับถมพอกพูน ซึ่งถือว่าเป็นขบวนการสร้างแนวปะการัง ซากหินปูนเหล่านั้นค่อย ๆ ผุกร่อนเป็นผงตะกอน ซึ่งส่วนหนึ่งก็ยังคงสะสมพอกพูนในแนวปะการัง แต่อีกส่วนหนึ่งอาจถูกพัดพาล่องลอยไปตามกระแสน้ำไปทับถมพอกพูนเป็นชายหาด โดยวิธีการเกิดแนวปะการังของเบลีซนี้ แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการสำคัญต่าง ๆ ในอดีตของโลก เช่น ยุคสัตว์เลื้อยคลาน ยุคน้ำแข็ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาความหลากหลายทางธรรมชาติบนพื้นโลก
(ix) : ด้วยความที่เบลีซแบร์ริเออร์รีฟ เป็นแนวปะการังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในซีกโลกเหนือ มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งบนชายฝั่งและใต้ทะเล ซึ่งความโดดเด่นของปะการังเบลีซนี้มี เอกลักษณ์ หายาก สวยงามแปลกตาเป็นพิเศษ
(x): เบลีซแบร์ริเออร์รีฟเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์และพืชพรรณที่หายากจำนวนมากทั้งบนชายฝั่งและใต้น้ำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเบลีซแบร์ริเออร์รีฟเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนิดสัตว์และพันธุ์พืชที่หายากหรือที่ตกอยู่ในสภาวะอันตราย แต่ยังคงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งรวมถึงระบบนิเวศอันเป็นแหล่งรวมความอุดมสมบูรณ์ของพืชและสัตว์ที่ทั่วโลกให้ความสนใจด้วย
แต่เมื่อ ค.ศ. 2009 เบลีซแบร์ริเออร์รีฟก็ถูกจัดอยู่ในรายชื่อแหล่งมรดกโลกที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ไมว่าจะเป็นการทำประมงผิดกฎหมาย ภัยคุกคามจากนักท่องเที่ยวที่ควบคุมไม่ได้ รวมถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิน้ำทะเลหรือเอลนีโญ ซึ่งเบลีซแบร์ริเออร์รีฟเสียหายไปเกือบร้อยละ 40 เพราะการเกิดปะการังฟอกขาวและพายุเฮอริเคนทำให้ปะการังแตกหัก สิ่งที่ทำได้เพียงเพิ่มมาตรการป้องกันภัยคุกคามจากการประมง และการท่องเที่ยว เพื่อที่จะให้ปะการังฟื้นฟูด้วยตัวเอง [2]