พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546

พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 เป็นกฎหมายไทย ประเภทพระราชบัญญัติ ร่างขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีไทยในสมัยพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร และตราขึ้นโดยรัฐสภาไทย โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2546 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2546 และมีผลใช้บังคับในอีกหนึ่งร้อยแปดสิบวันถัดมา คือ วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2547 แทนที่ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 และ ฉบับที่ 294

พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
ข้อมูลทั่วไป
ผู้ตรารัฐสภาไทย
ผู้ลงนามพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
วันลงนาม24 กันยายน พ.ศ. 2546
ผู้ลงนามรับรองทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
วันประกาศ2 ตุลาคม พ.ศ. 2546
(ราชกิจจานุเบกษา: เล่ม 120/ตอนที่ 95 ก/หน้า 1/2 ตุลาคม 2546)
วันเริ่มใช้30 มีนาคม พ.ศ. 2547
(เมื่อพ้นหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศ)
ท้องที่ใช้ทั่วประเทศไทย
ผู้รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
การร่าง
ชื่อร่างร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ...
ผู้เสนอคณะรัฐมนตรี
คำสำคัญ
การคุ้มครองเด็ก

พระราชบัญญัตินี้มีหลักการสำคัญในการใช้ทรัพยากรทุกภาคส่วนเพื่อดูแล ปกป้อง คุ้มครองเด็ก โดยได้มีการวางระบบการสงเคราะห์คุ้มครองสวัสดิภาพและส่งเสริมความประพฤติของนักเรียนนักศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ปกครองเลี้ยงดูบุตรโดยไม่ขัดต่อประเพณีอันดีงาม เป็นเสมือนการสะท้อนให้ผู้ปกครองตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ในการเลี้ยงดูเด็ก[1]

หัวใจของกฎหมายนี้อยู่ที่มาตรา 23 ซึ่งบัญญัติว่า[1]

"ผู้ปกครองต้องให้การอุปการะเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนและพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแลของตนตามสมควรแก่ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมแห่งท้องถิ่น แต่ทั้งนี้ต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานขั้นต่ำตามที่กำหนดในกฎกระทรวง และต้องคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแลของตนมิให้ตกอยู่ในภาวะอันน่าจะเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ"

เหตุผลของพระราชบัญญัติ

เหตุผล (statement of grounds) ของพระราชบัญญัตินี้ คือ

"...โดยที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2515 และประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 294 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน สาระสำคัญและรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการสงเคราะห์ คุ้มครองสวัสดิภาพ และส่งเสริมความประพฤติเด็ก ไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน สมควรกำหนดขั้นตอนและปรับปรุงวิธีการปฏิบัติต่อเด็กให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อให้เด็กได้รับการอุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และมีพัฒนาการที่เหมาะสม อันเป็นการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันครอบครัว รวมทั้งป้องกันมิให้เด็กถูกทารุณกรรม ตกเป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ หรือถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม และสมควรปรับปรุงวิธีการส่งเสริมความร่วมมือในการคุ้มครองเด็กระหว่างหน่วยงานของรัฐและเอกชนให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตตินี้"

แนวคิด

เด็กมีสิทธิขั้นพื้นฐานที่สำคัญ 4 ประการ คือ สิทธิที่จะมีชีวิตอยู่รอด สิทธิที่ได้รับกา��พัฒนารอบด้าน สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง และสิทธิการมีส่วนรวม อันเป็นหลักการที่ได้รับรองโดยอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งองค์การสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยได้บังคับใช้อนุสัญญาเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2535 ดังนั้น สังคมทุกภาคส่วนจะต้องดำเนินการรับรองและปกป้องสิทธิเด็กตามอนุสัญญาดังกล่าว นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ยังได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองสิทธิเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทารุณกรรมเด็กหรือการปฏิบัติอันไม่เป็นธรรม[2]

ในอดีตที่ผ่านมา กฎหมายและกลไกของรัฐยังด้อยประสิทธิภาพ เนื่องจากขาดพลังจากภาคประชาสังคมในการตอบสนองปัญหาความต้องการและความจำเป็น ทั้งปัญหาการทารุณกรรมเด็กโดยภาคครัวเรือนและภาคสังคมได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จึงต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อสร้างกลไกระหว่างภาครัฐและประชาสังคมให้ประสานกัน รัฐสภาจึงได้ตรา "พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546" ขึ้นใช้บังคับเป็นเครื่องมือและกลไกในการปกป้องคุ้มครองสิทธิเด็กที่ถูกทารุณกรรม[2]

"เด็ก" ที่ได้รับการคุ้มครอง

พระราชบัญญัติดังกล่าวคุ้มครองเด็ก คือ บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่รวมถึงผู้ที่สมรส โดยมีการจดทะเบียนสมรสชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว แต่ไม่นับรวมการสมรสโดยพฤตินัย

เด็กในกระบวนการสงเคราะห์ คุ้มครองสวัสดิภาพหรือส่งเสริมความประพฤติตามพระราชบัญญัตินี้ จะต้องมีอายุไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์ แต่หากเข้าสู่กระบวนการนี้แล้ว แม้จะอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว ก็ถือว่าบุคคลนั้นยังมีสิทธิได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพหรือส่งเสริมความประพฤติต่อไป[2]

สิ่งที่ผู้ปกครองควรปฏิบัติ

ข้อปฏิบัติ[1] ข้อห้าม[3]
  1. เลี้ยงดูเด็กโดยไม่ขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติ ศีลธรรมและเป็นที่ยอมรับในสังคม
  2. เด็กต้องได้รับการจดทะเบียนเกิด มีผู้ปกครองตามกฎหมาย และเรียนหนังสือภาคบังคับ
  3. เด็กต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสังคมชุมชน
  4. เด็กต้องได้รับการเลี้ยงดูให้มีสุขภาพกายและจิตดี และเรียนรู้ด้านจริยธรรม
  5. ผู้ดูแลเด็กต้องมีศักยภาพในการดูแลสุขภาพ ป้องกันโรค ตลอดจนส่งเสริมให้เด็กมีการเรียนรู้และการเข้าสังคม
  1. ทอดทิ้งเด็กไว้ในที่ใดที่หนึ่ง หรือบุคคลรับจ้างเลี้ยงเด็ก โดยมีเจตนาจะไม่รับคืน
  2. ละทิ้งเด็กไว้โดยไม่มีการป้องกัน ดูแล หรือได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม
  3. ละเลยไม่ให้สิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต สุขภาพ หรือการรักษาพยาบาลแก่เด็ก จนอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพกายและจิต
  4. ปฏิบัติต่อเด็กในทางที่ขัดขวางการเจริญเติบโตหรือพัฒนาการของเด็ก
  5. เลี้ยงดูเด็กโดยมิชอบ
  6. ทำการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก
  7. บังคับหรือส่งเสริมให้เด็กมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือเสี่ยงที่จะมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
  8. โฆษณาหรือเผยแพร่เพื่อรับเด็กหรือยกเด็กให้แก่บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ญาติ
  9. ใช้เด็กเป็นเครื่องมือขอทานหรือแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
  10. ใช้เด็กกระทำการเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางการค้า โดยขัดขวางพัฒนาการของเด็ก
  11. ยินยอมให้เด็กเล่นการพนัน หรือเข้าไปในสถานที่เล่นพนัน สถานค้าประเวณี หรือสถานที่ที่ห้ามมิให้เด็กเข้า
  12. แสดงหรือกระทำการลามกอนาจาร
  13. จำหน่าย แลกเปลี่ยน หรือให้สุราหรือบุหรี่แก่เด็ก

กรณีการห้ามเด็กออกจากบ้านหลัง 22.00 น.

กฎการห้ามเด็กออกจากบ้านหลัง 22.00 น. เป็นแนวคิดของพลตำรวจตรีอำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล[4] หวังลดสถิติอาชญากรรมในสังคม ที่มีเด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อยเป็นผู้ก่อ โดยมีพื้นที่ที่ถูกจับตาเป็นอันดับต้น ๆ คือ สถานบันเทิง และร้านเกม อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ มาตรการของเจ้าหน้าที่ตำรวจคือ หากพบเด็กอยู่ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม จะสอบถามเหตุผลก่อน หากไม่มีเหตุผลอันสมควร จะนำตัวไปยังโรงพัก เพื่อทำประวัติ ก่อนเรียกผู้ปกครองมารับกลับบ้าน[4]

มาตรการดังกล่าวได้รับการตอบรับทั้งสนับสนุนและคัดค้าน โดยมีสื่อบางแห่งเรียกว่า "เคอร์ฟิวเด็ก" สำหรับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยนั้น เห็นว่าอาจเป็นอันตรายต่อเด็ก เช่น อาจถูกตำรวจใช้ไปช่องทางรีดไถ หรือมีคนอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ทำอันตรายต่อเด็ก ด้านนักวิชาการและองค์การสิทธิมนุษยชนเห็นว่าอาจละเมิดสิทธิและเสรีภาพของเด็ก บางคนยืนยันว่าตำรวจไม่มีอำนาจออกคำสั่งเช่นนี้ เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติ ซึ่งอาจทำให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้ต้องหาฐานใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบเสียเอง[5]

ด้านตัวแทนตำรวจนครบาล กล่าวว่า ตำรวจมีแนวคิดควบคุมโต๊ะสนุกเกอร์ ร้านอินเทอร์เน็ต ร้านเกม และสถานบันเทิง ซึ่งจะดำเนินการในกรณีที่พบเด็กในสถานที่ดังกล่าวโดยไม่มีผู้ปกครองมาด้วยเท่านั้น[6]

ด้านสวนดุสิตโพลออกมาเปิดเผยความคิดเห็นของประชาชนกรณีดังกล่าวว่า มีประชาชนเห็นว่าสามารถแก้ปัญหาอาชญากรรมที่เกิดจากเด็กและเยาวชนได้มากถึงร้อยละ 62.87 ร้อยละ 67.41 คิดว่ารัฐบาลมีสิทธิควบคุมความประพฤติของเยาวชนของประเทศ ร้อยละ 68.15 เห็��ว่ามาตรการดังกล่าวเป็นการคุ้มครองเด็ก และร้อยละ 65.91 เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว ส่วนร้อยละ 52.27 เห็นว่ากระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็ก[7]

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 1.2 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546. มูลนิธิอาสาพัฒนาเด็ก. สืบค้น 30-1-2554.
  2. 2.0 2.1 2.2 สคช.จังหวัดพิจิตร. พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546. สืบค้น 30-1-2554.
  3. พระราชบัญญัติ คุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา 25 และ 26
  4. 4.0 4.1 เจาะประเด็น: กฎเหล็ก..เคอร์ฟิวเด็ก 18 ปี. (17 มกราคม 2554). สืบค้น 30-1-2554.
  5. เคอร์ฟิวเด็กคือดาบ 2 คม. (18 มกราคม 2554). สืบค้น 30-1-2554.
  6. ตำรวจย้ำเคอร์ฟิวเด็กแค่ 4 จุดร้านเน็ต-เกม-โต๊ะสนุก-สถานบันเทิง. (27 มกราคม 2554). สืบค้น 30-1-2554.
  7. ดุสิตโพลชี้คนชอบเคอร์ฟิวเด็ก. โพสต์ทูเดย์. (16 มกราคม 2554). สืบค้น 30-1-2554.